×

กสิกรไทยคงประมาณการ GDP ปี 66 ที่ 3.7% มองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังเจอโจทย์หิน ทั้งการจัดตั้งรัฐบาล ส่งออก ภัยแล้ง และหนี้ครัวเรือนสูง

11.07.2023
  • LOADING...
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการ GDP ปี 2566 ไว้ที่ 3.7% แม้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยมี 3 โจทย์หินที่รออยู่ ทั้งการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ภัยแล้งที่อาจรุนแรงกว่าคาด และหนี้ครัวเรือนก้อนใหญ่ของกลุ่มเปราะบาง

 

ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นภาพการขยายตัวที่ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยได้รับแรงหนุนจากฤดูกาลท่องเที่ยวที่สุดท้ายแล้วคงจะเห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2566 ที่ประมาณ 28.5 ล้านคน และทำให้คาดว่า GDP ในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวประมาณ 4.3% จากช่วงครึ่งปีแรกที่ประมาณ 3.0%

 

อย่างไรก็ตาม ไทยจะเผชิญหลายโจทย์สำคัญที่ท้าทายการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง โดยโจทย์แรกคือการจัดตั้งรัฐบาล และการรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจจีนที่เริ่มเห็นสัญญาณอ่อนแรง ซึ่งย่อมเปิดประเด็นความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจอาเซียนและไทยที่พึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างสูง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการ GDP ปี 2566 ที่ 3.7% และคงตัวเลขการส่งออกไว้ที่ -1.2% แต่ปรับลดการบริโภคภาครัฐบาลและการลงทุน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงที่รอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีความซับซ้อน ซึ่งเป็นโจทย์ที่รอการแก้ไข

 

โจทย์ถัดมาคือเรื่องภัยแล้ง โดย เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า นอกจากภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรที่อาจคิดเป็นมูลค่าราว 4.8 หมื่นล้านบาทในปีนี้แล้ว ปรากฏการณ์เอลนีโญรอบนี้อาจกดดันภาคการผลิตและบริการที่ใช้น้ำในสัดส่วนสูง ได้แก่ อโลหะ อาหาร สิ่งทอ ท่องเที่ยว โรงพยาบาล โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลาง ซึ่งมีโอกาสประสบกับสถานการณ์น้ำที่อยู่ในเกณฑ์น้อยหรือน้อยจนเข้าขั้นวิกฤต

 

นอกจากนี้การขาดแคลนน้ำอาจทำให้ธุรกิจต้องลดกำลังการผลิตหรือจำกัดการให้บริการ ส่งผลให้มีการสูญเสียรายได้ และสำหรับบางอุตสาหกรรมอย่างเช่นอาหาร ยังมีต้นทุนวัตถุดิบเกษตรที่จะสูงขึ้นด้วย ขณะที่ประเด็นข้อกังวลเพิ่มเติมคือภัยแล้งข้างต้นอาจลากยาวไปถึงปี 2567 ด้วยโอกาสของความรุนแรงที่อาจมากกว่าในปี 2566

 

สำหรับโจทย์สุดท้ายคือหนี้ครัวเรือนสูง โดย ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะอยู่ในกรอบประมาณ 88.5-91.0% ในช่วงปลายปีนี้ จากระดับ 90.6% ณ สิ้นไตรมาส 1 ของปี 2566 อย่างไรก็ดี สัดส่วนหนี้ดังกล่าวคงจะยังไม่ลดลงแตะ 80% อันเป็นระดับที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank of International Sattlements: BIS) มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่อได้โดยไม่สะดุดภายในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ ขณะที่มาตรการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะทำให้หนี้ใหม่โตช้าลงและหนี้เก่าลดลงเร็วขึ้นกว่าเดิม

 

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้จัดทำผลสำรวจภาวะหนี้สินครัวเรือนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 400 ตัวอย่าง ซึ่งย้ำภาพความน่ากังวลของปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้น้อย ขณะที่ลูกหนี้ที่ตอบแบบสอบถามให้น้ำหนักปัจจัยด้าน ‘รายได้’ ในการปิดหนี้อย่างยั่งยืน ส่วนมาตรการแก้หนี้ของ ธปท. ที่จะเริ่มจากการแก้ไขหนี้เรื้อรัง (Persistent Debts) สำหรับลูกหนี้บุคคลที่มีลักษณะวงเงินหมุนเวียน (Revolving Personal Loans) ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อให้ลูกหนี้ผ่อนให้จบภายในเวลาราว 4 ปีนั้น คงมีผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ในวงจำกัด ในเบื้องต้นคาดว่าจะไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย เพียงแต่ลูกหนี้อาจต้องเตรียมตัวผ่อนชำระต่อเดือนในจำนวนที่สูงขึ้นกว่าเดิม

 

นอกจากนี้ สุดท้ายแล้วคงอยากเห็นรัฐบาลใหม่เข้ามาดูแลหนี้ก้อนใหญ่ที่แก้ยากอย่างจริงจัง คือเกษตร ครู และข้าราชการ (เฉพาะหนี้ครูและข้าราชการตำรวจก็มีสัดส่วนประมาณ 10.5% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด) รวมถึงหนี้ที่ย้ายออกจากระบบไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) อีกหลักแสนล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมายังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการที่เคยออกมาแล้วอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังประกอบด้วยหนี้บุคคลและหนี้ธุรกิจรายย่อย อันจะมีผลต่อความสามารถในการดำรงชีพของครัวเรือนและธุรกิจฐานรากของไทยในระยะข้างหน้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising