ภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย (บล. กสิกรไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปี 2563 ช่วงมีปัจจัยท้าทายทั้งจากในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยบวกในประเทศหลายด้าน โดยแบ่งเป็น 4 ข้อใหญ่ ได้แก่
- งบประมาณปี 2563 วงเงินกว่า 3.2 ล้านล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเข้าสู่เศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยจากที่เห็นการลงทุนชะงักมาตั้งแต่ปลายปี 2562 ที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่องบประมาณอนุมัติ คาดว่าจะเห็นการเร่งใช้เม็ดเงินให้ทันกับปีงบประมาณ 2563 มากกว่าปีที่ผ่านมา
- การผ่อนคลายเกณฑ์มาตรการ LTV (เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
- คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งปีแรก 2563 ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
- มองว่าความสอดคล้องของนโยบายการเงินและการคลังไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น จากปี 2562 ที่ผ่านมา นโยบายที่ออกมายังไม่สอดคล้องกัน
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปี 2563 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) จะอยู่ที่ 1,725 จุด ถือว่าปรับลดจากประมาณการก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 1,750 จุด อย่างไรก็ตาม ปลายเดือนมกราคม 2563 นี้จะมีการทบทวนประมาณการอีกครั้ง ด้านภาพรวมของปี 2563 มองว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ 101-102 โดยมีความเสี่ยงขาลง (Downside Risk) ใน 2 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มธนาคารที่สินเชื่อยังไม่กลับมาเติบโตมากนัก ปี 2562 ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ คาดการณ์ว่า สินเชื่อของธุรกิจธนาคารจะเติบโต 3-4% แต่ตัวเลขจริงเติบโตราว 2% ขณะที่ปี 2563 มองว่า สินเชื่อธนาคารมีโอกาสเติบโต 4-5% เพราะธนาคารเริ่มปรับตัวกับรายได้ค่าธรรมเนียม ทว่า แต่ละธนาคารต้องบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย โดยมองว่า หุ้นธนาคารที่น่าสนใจ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารทิสโก้ (TISCO)
- กลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น แม้ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ทิศทางการใช้น้ำมันโลกยังลดลง โดยกลุ่มนำ้มันดีเซลภาพรวมไม่ค่อยดี ดังนั้น กลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มที่ใช้แก๊ซ เช่น บมจ. บางกอกกล๊าส (BG) บมจ. ซัสโก้ (SUSCO)
ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบของโรคระบาดโคโรนาจะคงอยู่กับตลาดหุ้นในระยะสั้นหรือช่วง 2 สัปดาห์นี้ โดยจะกระทบด้านลบต่อกลุ่มหุ้นสายการบิน การท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ขณะเดียวกันไม่ได้ส่งผลกระทบด้านบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ส่วนหนึ่งเพราะอัตราการเสียชีวิตจากโรคโคโรนาอยู่ที่ 3% ถือว่ายังต่ำกว่าโรคซาร์สที่อัตราการเสียชีวิตมากกว่า 10% อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์และการรับมืออย่างต่อเนื่อง
