×

เกรซ กาญจน์เกล้า ขุดคุ้ยสิ่งคาใจตลอด 15 ปีในวงการบันเทิง และช่วงชีวิตใหม่ที่ไม่รอให้โอกาสหล่นมาหา

25.08.2020
  • LOADING...
เกรซ กาญจน์เกล้า

HIGHLIGHTS

  • เกรซ กาญจน์เกล้า อยู่ในวงการมา 15-16 ปี เธอบอกว่าการทำงานในวันนี้ก็ต่างจากวันนั้น สมัยก่อนเธอจะต้องรอรับโอกาสอย่างเดียว โอกาสเหมือนอยู่ข้างบน และการจะได้เล่นละครสักเรื่องหนึ่ง มันคือส้มลูกไหนจะหล่นลงมาใส่เธอก็เท่านั้น 
  • Notebook เป็นเพลงแรกในชีวิตของเกรซ เกิดจากการที่เกรซปฏิเสธการเล่นละครเรื่องแรก “ไม่อยากเล่นค่ะ หนูไม่ได้ชอบเล่นละคร” ผู้ใหญ่จึงถามเธอว่าชอบอะไร “หนูชอบร้องเพลงค่ะ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นว่าหนูจะต้องเป็นนักร้องนะคะ” ผู้ใหญ่จึงบอกเธอว่าเดี๋ยวให้เป็นนักร้องนะ แต่ต้องเล่นละครเรื่องนี้ให้ก่อน
  • เกรซอยากให้แต่ละวันมีเพิ่มสัก 6 ชั่วโมง แล้วชีวิตเธอจะพอดี ได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง เพราะเกรซเห็นคุณค่าของเวลามากๆ และเธอจะไม่ใช้มันไป 100% กับการทำงาน เพราะเธอเชื่อว่าถึงวันหนึ่งที่เราทำงานสำเร็จแล้วมองกลับมา เธออาจไม่เหลือใครเลย แล้วเธอจะชื่นชมความสำเร็จนั้นกับใคร

“โอกาสมันอยู่ข้างบน แล้วเกรซมีหน้าที่รอให้มันหล่นลงมาเหมือนส้มสักลูก”

 

นี่คือการเปรียบเปรยอย่างชัดเจนที่สุดเท่าที่นักแสดงคนหนึ่งจะสามารถอธิบายชีวิตการทำงานของตัวเองได้ และตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีในวงการบันเทิงของผู้หญิงที่ชื่อ เกรซ-กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า เธอเองก็ได้รับผลส้มนั้นอยู่บ่อยครั้ง แม้อาจจะไม่ใช่ส้มสายพันธุ์ที่ดีที่สุด แต่เธอก็ปรากฏตัวอยู่บนจอเรื่อยๆ ไม่เปรี้ยงปร้าง

 

และวันนี้หลังจากที่ตัดสินใจติดปีกโผบินโอบรับประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิตในฐานะนักแสดงอิสระกับละครเรื่องล่าสุดอย่าง ‘เริงริตา’ ที่กำลังออกอากาศอยู่ THE STANDARD POP มีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับเธออย่างตรงไปตรงมาว่าเหตุผลกลใดจึงตัดสินใจเดินออกจากสังกัดเดิม และตลอดเวลาที่ทำงานมา จุดไหนของวงการบันเทิงนี้ที่เธอยังค้างคาใจ มีอะไรอีกไหมที่เธออยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ ฯลฯ เพราะเราตั้งใจว่าจะคุยกับเธอให้ลึกที่สุด ลึกจนกระทั่งเธอออกปากหลังสัมภาษณ์เสร็จว่า “นี่เป็นบทสัมภาษณ์เข้มข้นที่สุดที่เธอไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสได้พูดตลอด 15 ปีที่ผ่านมา” 

 

 

สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงชื่อ เกรซ กาญจน์เกล้า ตัดสินใจออกจากสังกัดเดิมที่อยู่มา 15 ปีคืออะไร

มันคือความท้าทาย มันเป็นความหลากหลายที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตการแสดงที่ผ่านมาเลยค่ะ รู้สึกว่าอยากจะทำอะไรที่มันสนุก โดยที่เราไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนนะว่ามันจะต้องเป็นอย่างไร เพราะเกรซว่าละครสักเรื่องหนึ่ง ถ้ามันจะดี หรือถ้ามันจะดัง มันคือองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ไม่ใช่แค่ตัวนักแสดงอย่างเดียว มันคือบท คือผู้กำกับ ฯลฯ แต่ถามว่าสิ่งไหนที่ทำให้เราก้าวออกมา มันคือแพสชันที่เราอยากจะทำในสิ่งที่เรารัก เช่น งานดนตรี ทำรายการ หรือรายการพูดคุยต่างๆ ที่เราได้เป็นตัวของตัวเอง แล้วเรารู้สึกว่าเราทำงานมาจนถึงจุดหนึ่ง เราอยากจะเป็นนายตัวเอง ไม่ได้อยากที่จะทำตามแนวทางของใคร มันถึงจุดที่เราอยากจะกำหนดทิศทางชีวิตด้วยตัวของเราเอง

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในวงการ รู้สึกไหมว่ากราฟการทำงานของคุณมันนิ่งเกินไปหรือเปล่า

จริงๆ ละครที่เราเล่นก็เยอะนะ แล้วมันทำให้คนจำเราได้จากจุดนั้น ซึ่งเป็นข้อดี เพียงแต่ตัวตนที่แท้จริงของเรามันไม่ใช่แบบนั้นไง เราอยากจะเป็นอะไรที่คนรักเพราะเราเป็นเรามากกว่า การเล่นละครดังมันก็ดี แต่การเล่นละครคือการเล่นเป็นคนอื่น แต่การร้องเพลง การทำงานในศาสตร์อื่นๆ มันคือคนรักคุณเพราะคุณคือคนคนนั้น คุณคือตัวของคุณเอง นี่คือสิ่งที่เกรซยังไม่สามารถทำได้ แต่รู้สึกว่าเราอยากจะลองทำ เราอยากจะใช้ความสามารถตรงนี้ในการทำ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง ทำเพลง หรือว่าทำอะไรต่างๆ ที่เรารู้สึกแฮปปี้ที่จะทำ ทำแล้วมันท้าทายตัวเอง เพราะเวลาเราไม่ได้มีเยอะ มันผ่านมานานแล้ว และเหมือนเรารู้ตัวช้า ทั้งที่จริงมันควรถึงเวลาที่เราจะต้องก้าวออกมาทำอะไรที่แปลกและแตกต่าง เราจะมัวเดินวนเป็นวงกลมอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้

 

 

จุดไหนที่ทำให้คุณรู้สึกตัว

จุดอิ่มตัวค่ะ ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยด้วยนะ เกรซเป็นคนที่ตัดสินใจแล้วก็ทำเลย เป็นคนคิดปุ๊บทำปั๊บ ไม่ได้มีการกลั่นกรองอะไรทั้งนั้น พอถึงเวลาที่มันสมควร มันก็จะมีเวลาของมันในทุกๆ สถานการณ์ของชีวิตค่ะ 

 

แล้วเวลานี้ นาทีนี้ เกรซรู้สึกอย่างไรกับตัวเองบ้าง คิดถูกแล้วหรือไม่

ตอนนี้เกรซรู้สึกยินดี รู้สึกดื่มด่ำกับทุกสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตนะคะ ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่เด็กไม่ได้คิดว่าจะเข้ามาในวงการด้วยซ้ำ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้สนับสนุน เพราะฉะนั้นแล้วมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างไกลตัวเรามาก เราชอบร้องเพลง เราเรียนดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ที่เราเรียนมันเหมือนเป็นแค่ความสามารถพิเศษที่จะใช้เลี้ยงตัวเองได้ ประกอบอาชีพตัวเองได้ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ปลูกฝังในอนาคต ถ้าสมมติว่าเราโตไปแล้วอยากจะให้เราเป็นครูสอนเปียโน และเรารักมันด้วยไง เพียงแต่เราไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องทำมาหากินด้วยอาชีพนี้ในตอนนั้น

 

ด้วยความที่เราเข้าวงการบันเทิงเร็วตั้งแต่อายุ 15 ปี เราได้มันมาเร็ว เพราะฉะนั้นตอนเด็กๆ ชีวิตนักแสดงของเกรซจะเรียบง่าย เพราะเกรซไม่ได้อยากได้มันมาตั้งแต่แรก เกรซไม่ได้มีความรู้สึกทะเยอทะยาน เกรซรู้สึกว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ ความทะเยอทะยานมันต้องมีด้วย แต่ที่ผ่านมาเหมือนเราได้มาโดยที่เราไม่ได้รู้สึกขอบคุณอะไรมันมาก แล้วก็อยู่กับมันมาเรื่อยๆ เอาจริงๆ เกรซเพิ่งรู้สึกรักการถ่ายละครจริงๆ ก็แค่เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมาเองนะ เกรซรู้สึกว่าโอเค เพราะได้เจอบทที่เราแฮปปี้ที่จะเล่น บทที่เราพร้อมจะแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ไปเล่น ซึ่งมันไม่ได้เจอบทที่จะเป็นแบบนั้นได้ทุกเรื่อง

 

ตอนเด็กๆ ชีวิตนักแสดงของเกรซจะเรียบง่าย เพราะเกรซไม่ได้อยากได้มันมาตั้งแต่แรก เกรซไม่ได้มีความรู้สึกทะเยอทะยาน เกรซรู้สึกว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ ความทะเยอทะยานมันต้องมีด้วย

 

 

เท่ากับว่า 15 ปีที่ผ่านมา มีแค่ช่วง 3-4 ปีก่อนเท่านั้นที่คุณรู้สึกดีกับงานแสดงที่คุณทำ

เราเจอการทำงานในบทบาทที่หลากหลายตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่เราเพิ่งจะมารู้สึกรักและอินกับมันตอนเราเรียนจบ เหมือนมันมาถึงจุดที่เรารู้สึกว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิต จะเลือกทางไหนดี เกรซเคยหยุดละครไป 2 ปี แบบไม่มีละครถ่าย ไม่มีละครฉายเลย ตอนนั้นเราค้นพบว่าตัวเองมีแพสชันกับการทำธุรกิจด้วย แล้วเราทำได้โอเค แต่มันเหมือนมีอะไรขาดหายไป เหมือนเราไม่ได้ลองหยุดเพื่อที่จะรู้ว่าสิ่งที่ขาดหายไปนั้นมันมีความสำคัญกับเรายังไง

 

แต่พอหยุดไปมันก็ทำให้เรารู้ว่า โอเค เราต้องกลับไป ทีนี้พอกลับมาเริ่มงานอีก 2 ปีก็เริ่มมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น เริ่มโตขึ้นด้วยค่ะ พอเริ่มโตขึ้นมันก็เริ่มเข้าใจความต้องการของตัวเองมากขึ้นแล้วว่าเราอยากเล่นแบบไหน เราอยากที่จะทำงานแบบไหน 

 

 

ละคร ‘เริงริตา’
ภาพ: GMM25

 

แล้วกับการเลือกเดินทางสายนักแสดงอิสระ อะไรทำให้เกรซตัดสินใจเลือกร่วมงานกับ GMM25 ในเรื่องเริงริตา

เพราะอ่านบทแล้วรู้สึกว่ามันจริง เราได้พูดหรือได้รู้สึกอะไรที่มันเกิดขึ้นจริงในยุคปัจจุบัน เป็นอะไรที่แตะต้องได้ เป็นอะไรที่คนดูรู้สึกโดนใจ สามารถที่จะเข้าไปนั่งในใจคนดูได้ หรือแม้กระทั่งหัวเราะตาม ร้องไห้ตามอะไรอย่างนี้ โดยที่มันไม่ได้รู้สึกว่าไกลตัว มันอาจจะแรง แต่สุดท้ายแล้วมันคือเรื่องของความจริง

 

เรื่องนี้รับบทเป็นสาวขายบริการ ซึ่งเราก็มาคุยกันถึงขอบเขตว่าคำว่า ‘ขายบริการ’ ในสิ่งที่ผู้กำกับคิดคืออะไร แล้วขอบเขตอยู่ตรงไหน ซึ่งมันตรงกัน เราไม่จำเป็นจะต้องใส่เสื้อผ้าที่โป๊หรือเซ็กซี่ แต่เราใช้หัวใจของความเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ต่อให้ชีวิตมันจะเจออะไรหนักหนาสาหัสมากี่ที เหมือนรถบรรทุกสิบล้อเสยหน้าเข้าไป แต่ลุกขึ้นมาแล้วยังไม่ตายอะไรแบบนั้น คือริตาเขาโดนดูถูกจากสังคม แล้วเขาต้องการโอกาส การพิสูจน์ตัวเอง บทนี้มันท้าทายดี แล้วก็คงได้วัดว่าเราจะสามารถทำได้หรือเปล่า

 

มันไม่ได้มีบทอะไรที่จะสามารถท้าทายเราได้มากและหลากหลายแบบนี้ โดยเฉพาะตัวละครที่มีปม มีแผลในใจ เกรซรู้สึกว่าในปัจจุบันภาวะซึมเศร้ามันเกิดจากความผิดหวังและแผลในใจที่ลบไม่ออก มันคือเรื่องที่กัดกินใจอะไรหลายๆ อย่างของมนุษย์ มันรู้สึกเหมือนโลกทำร้ายเรา ซึ่งถ้าถามตัวเกรซเอง เกรซเป็นคนไม่ค่อยแคร์หรือใส่ใจกับคำพูดของใครมากมาย แต่กับตัวริตาเองก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างคิดเยอะ และมองทุกเรื่องให้มันเป็นเรื่องร้าย ก็ต้องมานั่งปรับวิธีคิดในการแสดงค่อนข้างเยอะเหมือนกัน

 

แต่ทุกครั้งที่เป็นริตาก็รู้สึกมีความสุขนะ สงสารตัวละครนี้มาก ตัวละครตัวนี้ไม่ได้มีแค่ความร้าย แซ่บ แต่หัวใจของละครเรื่องนี้มันคือการถ่ายทอดความรู้สึกของผู้หญิงที่รู้สึกว่าฉันอยากมีความรักเหมือนคนอื่น ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกัน

 

 

ละคร ‘เริงริตา’
ภาพ: GMM25

 

ได้เรียนรู้อะไรในตัวละคร ‘ริตา’ บ้างระหว่างที่คุณทำการบ้านกับเธอ

เกรซอยู่กับริตาตลอดเวลาจนพอจะเข้าไปถึงและเป็นได้จริง มันมีทั้งสุขหัวใจ ทั้งทุกข์ไปกับตัวละคร มันเป็นอะไรที่อ่อนไหวมากๆ แต่พอหันมามองตัวเอง เราก็เต็มไปด้วยความห้าว แต่พอสวมบทไปเป็นริตา เราก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเลือกที่จะทำแบบนี้ และเราก็จะเข้าใจความรู้สึกคนดูว่าอาจจะต้องลุ้นไปกับตัวละครว่าจะสามารถก้าวข้ามผ่านความรู้สึกของความเคียดแค้น ของการเห็นผิดเป็นถูกได้หรือเปล่า เพราะริตาก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีทั้งดีและไม่ดี

 

ในฐานะคนทำงานในวงการบันเทิงมายาวนาน คุณมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของวงการนี้อย่างไรในวันที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงอิสระ 

เกรซไม่รู้นะว่าอีก 10 ปีข้างหน้าคนทำละครจะต้องทำละครแบบไหนออกมา เหมือนเราวิ่งตามความรู้สึกของคนในปัจจุบัน ตามลักษณะของความรู้สึกในสภาพปัจจุบันแบบที่มันเป็นอยู่ในตอนนี้ มันไม่จำเป็นหรอกว่าจะต้องเป็นละครร้ายๆ แรงๆ แต่มันต้องเป็นอะไรเข้าไปนั่งในใจเขาได้ 

 

เกรซอยู่ในวงการมา 15-16 ปี วันนี้ก็ต่างจากวันนั้น สมัยก่อนเราจะต้องรอรับโอกาสอย่างเดียว โอกาสมันอยู่ข้างบน การจะได้เล่นละครสักเรื่องหนึ่ง มันคือส้มลูกไหนจะหล่นลงมาใส่เรา แต่สมัยนี้ไม่ใช่ เราทุกคนเป็นผู้สร้างเองได้ เราคือคนสร้าง เพราะฉะนั้นแล้วเกรซถึงบอกว่าสาเหตุของการที่ออกมาเป็นอิสระเพราะว่าแฟร์เกม เรามีสิ่งไหน เราสามารถทำสิ่งนั้นออกมาได้ เกรซเลือกที่จะเดินทางสายนี้เพราะความหลากหลาย แล้วก็รู้สึกว่าในยุคสมัยนี้มันได้เปลี่ยนแปลงไป อีก 5 ปีหรืออีก 10 ปีมันก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เราแค่ต้องปรับตัวให้เข้ากับมันเท่านั้นเอง ถ้าตราบใดที่เรารู้สึกว่าเรามีของ มีความสามารถ แล้วอยากที่จะทำ

 

เราไม่ได้คาดหวังกับมันมากว่าจะต้องเป็นยังไง แค่เรามีความสุขที่ได้ทำ มันถึงยุคที่เราสามารถเป็นนายตัวเองแล้ว เราไม่ได้อยู่ในสังกัดหรืออะไรที่จะต้องรอให้ใครเป็นเจ้านายเรา เราไม่ได้อยู่ในจุดที่อยากจะให้ใครมาสั่งเราแล้ว

 

 

 

เพลง Notebook ซิงเกิลแรกในชีวิตของ เกรซ กาญจน์เกล้า

 

เราคิดถึงเพลงที่ชื่อว่า Notebook ของคุณมากๆ

ว้าย เธอรู้จักเหรอ (หัวเราะ) Notebook เป็นเพลงแรกในชีวิตของเกรซ เพราะว่าเขาหลอกฉัน (หัวเราะ) คือเกรซจะได้เล่นละครเรื่องแรก (ดวงใจและสายน้ำ, 2548) แต่เกรซไม่เล่น ไปแคสต์แล้วด้วยนะ พอได้ก็ปฏิเสธเขาว่าไม่อยากเล่นค่ะ หนูไม่ได้ชอบเล่นละคร ชีวิตมันคือดนตรีน่ะ แล้วจะให้ไปเล่นละคร เราก็ต้องหยุดเรียน 4 วันต่อสัปดาห์ แล้วจะทำการบ้านส่งคุณครูยังไง วันหนึ่งมีตั้ง 8 วิชา ต้องตามส่งงานทั้งสัปดาห์ จะบ้าเหรอ ไม่เอา เรารู้สึกว่าเราไม่พร้อมในตอนนั้น

 

เขาก็ถามว่าแล้วชอบอะไร หนูชอบร้องเพลงค่ะ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นว่าหนูจะต้องเป็นนักร้องนะคะ ผู้ใหญ่เขาก็โอเค เดี๋ยวให้เป็นนักร้องนะ แต่ว่าต้องเล่นละครเรื่องนี้ให้ก่อน เพราะเราเลือกคุณมา สุดท้ายก็เล่น แล้วเพลงนั้นก็เป็นเพลงประกอบละครที่เราเล่นด้วย เป็นที่มาของเพลง Notebook นะคะคุณผู้ชม (หัวเราะ)

 

 

เกรซ กาญจน์เกล้า กับการคัฟเวอร์เพลง ‘พักก่อน’ ของ Milli ในเนื้อที่เธอแต่งเองแบบแสบๆ คันๆ

 

เราค้นพบว่าเกรซได้แสดงศักยภาพผ่านช่องทางของตัวเองมากขึ้น เช่น การร้องเพลง ซึ่งคุณดูสนุก และเราเองก็สนุกที่ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่

อย่างที่บอกว่าเราอยากเป็นนายตัวเอง เราเลือกทางเดินของเราได้ นี่คือสิ่งที่เราสร้างได้ นี่คือยุคสมัยของคอนเทนต์ว่าตัวคุณมีอะไรมานำเสนอ คุณต้องมีความน่าสนใจพอนะ ยุคสมัยนี้คนทุกคนทำงาน ทุกคนมีเวลาเป็นของตัวเอง การที่เขาจะดูคุณแม้กระทั่ง 1 นาที หรือ 30 วินาที ลงอินสตาแกรม 1 โพสต์มันยากแล้วนะ คือเรากำลังทำให้เขาสูญเสียเวลาในชีวิตหรือเปล่า เขาได้อะไรจากคุณหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าอยากจะทำคอนเทนต์ที่ดี เพราะอย่างตอนที่ออกเป็นอิสระ ผลงานแรกก็คือการคัฟเวอร์เพลงช่วงโควิด-19 ฉันก็งงมากเลย มันเกิดจากความว่าง เกิดจากความเกรียนของตัวเอง เราก็งงว่า เฮ้ย กระแสดีขนาดนี้เลยเหรอ เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะจริงจังกับช่องยูทูบ 

 

พักหลังๆ ที่คุณปรากฏตัวในสื่อ เราพบว่าเกรซเป็นคนตลก ตั้งแต่การให้สัมภาษณ์เรื่องชานมไข่มุก หรือการไปต่อปากต่อคำกับ ป๋อมแป๋ม-นิติ ชัยชิตาทร ในรายการทอล์ก-กะ-เทย

เราคิดว่าเราเป็นตัวของตัวเองดีกว่า มันไม่จำเป็นว่าเราเป็นนางเอกแล้วจะต้องเรียบร้อย ยุคนี้สมัยนี้เป็นตัวเองตามที่มันเป็นความจริง มันทำให้คุณจะเป็นคนยังไงก็ได้ แล้วมันไม่เดือดร้อนคนอื่น นั่นล่ะคือความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่มีใครมาว่าเราหรอก ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เรามีสื่อในมือของตัวเอง มันช่วยซัพพอร์ตในเรื่องงานและความเป็นตัวตน หรือไอเดียบางอย่างที่เราไม่สามารถพูดได้ในสายงานของเรา แต่สื่อยังคงสำคัญอยู่เสมอ มันไม่ได้มีใครที่จะมานั่งดูเราในช่องทางของเราอย่างเดียวหรอก เกรซก็รู้สึกว่าสื่อยังคงสำคัญเสมอจริงๆ สำหรับการซัพพอร์ต ไม่ใช่ว่ามันไม่จำเป็นนะ มันยังมีความจำเป็นอยู่ ก็เหมือนที่เกรซนั่งสัมภาษณ์กับ THE STANDARD POP อยู่ตรงนี้ไง

 

 

ย้อนกลับไปที่ชานมไข่มุกหวาน 100% นี่เป็นคำสัมภาษณ์ที่เราไม่คิดว่าจะได้ยินจากนักแสดงหญิงคนไหนอีกแล้ว จำได้ไหมว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่

มันเป็นเรื่องความชอบของแต่ละคน แต่สำหรับเกรซ ถ้าจะกินชานมไข่มุกแล้วรสชาติเหมือนน้ำยาล้างจาน ฉันไม่กิน แบบแคลอรีต่ำฉันไม่กิน ฉันไม่เอา ฉันต้องหวาน 100 บางวันหวาน 120 ด้วย (หัวเราะ) เกรซเป็นคนทำงานเยอะ เพราะฉะนั้นเกรซจะกิน ไม่ได้แค่กินเพื่อความสุข แต่เกรซกินแล้วเกรซได้ใช้ เกรซต้องใช้สมองในการทำงาน เกรซอยากจะบอกสาวๆ ที่กำลังลดน้ำหนักนะคะ ที่ตื่นเช้ามาแล้วไม่กินอะไร หรือบางวันไม่กินอะไรเลย กินแต่น้ำเปล่า คุณกำลังเอาขี้ขึ้นสมองอยู่นะคะ (หัวเราะ) เพราะตื่นเช้ามา ถ้าคุณไม่กินข้าวเช้า คุณไม่มีอะไรเสิร์ฟร่างกาย เขาจะเอาอะไรไปมอนิเตอร์สมอง หัวใจ กล้ามเนื้ออะไรต่างๆ ถ้าคุณไม่กินเข้าไป ลำไส้บีบเอาสารอาหารที่เหลือค้างจากขี้ขึ้นมาเลี้ยงสมองนะ (หัวเราะ)

 

เพราะว่าชีวิตในปัจจุบันของเรามันเร่งรีบ แต่เกรซไม่ได้ เกรซลืมตาปุ๊บ อาบน้ำ แปรงฟัน เกรซต้องกินข้าวก่อนออกจากบ้าน หรือต้องหาอะไรกินก่อนออกจากบ้าน เพราะไม่อย่างนั้นไปกองถ่ายแล้วกินข้าวเช้าที่กองอย่างเดียวไม่ได้ สมองมันเออเร่อ มันไม่พร้อมมอนิเตอร์ 

 

ย้อนกลับไปในวันที่เป็นเด็กหญิงกาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า สิ่งใดที่หล่อหลอมคุณขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้

เกรซอยู่กับดนตรีตลอดเวลา เกรซได้มาจากคุณพ่อด้วย แล้วคุณพ่อเปิดฟังเรื่อยๆ เราก็ซึมซับตั้งแต่เด็กๆ ก็จะมี เอลวิส เพรสลีย์, Bee Gees, แนท คิง โคล, The Beatles, The Carpenters มันเหมือนหล่อหลอมเข้าไปในความเคยชิน แล้วบวกกับการที่เขาส่งเราไปเรียนดนตรี เราก็เหมือนมีความรู้ทางด้านนี้ มันเหมือนหยิบจับอะไร เราก็รู้สึกว่าเรามีความสุขเกี่ยวกับดนตรีตลอดเวลา ทุกวันนี้ก็คิดว่าต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่เคี่ยวเข็ญ ตอนเด็กๆ กว่าจะตื่นไปเรียนได้คือขี้เกียจมาก เพราะว่าเราก็เรียนจันทร์ถึงศุกร์ แล้ววันเสาร์ก็ต้องไปเรียนอีก แต่โตมาก็ได้รู้คุณค่าของมัน

 

ถ้าถามตัวเกรซ คนที่เขาชื่นชอบในตัวเราก็มีส่วนหนึ่ง เป็นเพราะว่าเราร้องเพลงเล่นดนตรีด้วย มันไม่ใช่แค่เราเล่นละคร เมื่อก่อนคนที่ไม่ได้เสพละครก็ไม่ได้ชอบ บางคนก็ชอบแค่ฟังเพลง เราก็รู้สึกโอเค ชื่นใจที่เรามีความสามารถตรงนี้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราชอบด้วย มันก็เลยทำให้เรารู้สึกมีความสุข แล้วก็หล่อหลอมเรามาจนเป็นอย่างทุกวันนี้

 

 

แล้วถ้าไม่ใช่เพลงที่ฟังตามคุณพ่อล่ะ

ตอนนั้นฟัง M2M ใสๆ แบ๊วๆ ทุกคนต้องฟังหรือเปล่า ต้องร้องเพลง Pretty Boy แล้วก็มีพี่แอน ธิติมา มันจะเป็นยุคใสๆ ของมัน แต่ถ้าสมัยนี้ก็ต้องแรปหรืออาร์แอนด์บี มันจะมีลูกเล่นของมันในแต่ละยุคสมัยค่ะ แต่ทุกอย่างมันก็จะวนกลับมาเป็นวงจรของมันไป

 

เกรซชอบฟังเพลงสนุก เพลงที่กวนประสาท คิดว่าถ้าจบจากการถ่ายละครจะแต่งเพลงที่กวนประสาทสักเพลงหนึ่งแบบสนุกๆ เป็นความรักที่แทนใจ แทนความรู้สึกของผู้หญิง เกรซชอบเพลงสนุก ไม่ชอบเพลงช้า แต่เพลงช้าก็ฟังได้ มันให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่งในช่วงเวลานั้นๆ ถ้าเช้ามาไปทำงานก็จะฟังเพลงสนุกๆ ฟังได้หมดทั้งไทย เกาหลี มีจังหวะหน่อย

 

ในโลกของอุตสาหกรรมบันเทิง ใครหล่อหลอมความเป็นคุณขึ้นมา ต้นแบบของคุณในยุคนั้นคือใคร 

ไม่มี รู้ไหมเวลาที่มีคนถามว่าใครเป็นไอดอล เกรซไม่ได้มีใครเป็นไอดอล แต่ถ้าถามว่าเราชื่นชมใครก็คงเป็นคนใกล้ตัว คงเป็นคุณแม่กับคุณพ่อ พวกเขาจะเป็นความแตกต่างที่เราก็รู้สึกว่าโอเค เราได้อันนี้จากคุณพ่อ เราได้อันนี้จากคุณแม่ แล้วก็เป็นตัวเรา

 

แต่ถ้าไอดอลในการทำงานของเกรซก็คือแกรนด์ (กรณ์ภัสสร ด้วยเศียรเกล้า น้องสาวของเกรซ) แกรนด์เป็นคนจ้างร้อยทำร้อยล้าน เป็นคนตั้งใจมากๆ ช่วงซ้อมจะไปรายการ The Mask Singer ซ้อมจนเราไม่ได้นอน (หัวเราะ) ซ้อมลั่นบ้าน ตี 4 ตี 5 ก็ยัง DDU-DU DDU-DU อยู่ ฉันต้องตื่นไปถ่ายละครนะ แล้วอยู่บ้านเดียวกัน มันก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นความฝันของน้อง แต่ก็เป็นอยู่ประมาณ 3 เดือนที่นอนไม่หลับ ความสุขของน้องแลกมากับน้ำตาของเรา

 

เกรซ แกรนด์ และแกรนท์ น้องสาวทั้งสองของเธอ

ภาพ: @gracekanklao / Instagram

 

คุณได้อะไรมาจากคุณพ่อ และได้อะไรที่แตกต่างกันมาจากคุณแม่บ้าง

เกรซได้ความบ้าบิ่นจากพ่อ ได้ความใส่ใจจากแม่ แล้วก็จะได้ความรอบคอบจากแม่ แต่ได้ความถึงใจถึงอารมณ์จากคุณพ่อ ฉันก็จะเป็นคนงงๆ นิดหนึ่ง (หัวเราะ)

 

ในฐานะพี่สาวคนโตของครอบครัว คุณเคยรู้สึกกดดันตัวเองไหมว่าเราจะต้องมีหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว หรือเป็นที่พึ่งให้กับน้องสาวทั้งสองคน

เรามาทำงานอย่างนี้ เราก็รู้สึกว่าเราห่างไกลพ่อแม่นะ เราออกมาทำงานตามความฝัน ทำสิ่งที่เราชอบ แต่เราก็ทิ้งคนที่เรารักไว้ที่บ้านหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกรซให้ความสำคัญมากๆ เลยก็คือเรื่องของเวลา เกรซอยากให้มีสัก 30 ชั่วโมงต่อวันได้หรือเปล่า เพราะเรามีทั้งครอบครัว มีเพื่อน มีแฟน มีงาน มีเพื่อนร่วมงาน มีอะไรหลายๆ อย่าง เรามีสัตว์เลี้ยง ไหนเราจะต้องดูแลตัวเองอีก 24 ชั่วโมงมันไม่พอ นี่ฉันต้องนอนแล้วเหรอ ขออีกสัก 6 ชั่วโมงได้ไหม ชีวิตจะพอดี จะได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง

 

เราเห็นคุณค่าของเวลามากๆ เราทุกคนมีเวลาเท่ากัน แต่เราใช้มันไปกับอะไรบ้าง เกรซจะไม่ใช้มันไป 100% กับการทำงาน เพราะถึงวันหนึ่งที่เราทำงานแล้วมองกลับมาไม่เห็นหรือไม่เหลือใครเลย เราจะชื่นชมความสำเร็จนั้นกับใคร เกรซจึงอยากที่จะดูแลคุณพ่อคุณแม่ อยากที่จะมีเวลาได้อยู่กับเขา แบ่งเวลาจัดสรรปันส่วนให้ดี

 

 

มนุษย์ยุค 90 อย่างเราจะรู้สึกว่าอายุฉันเข้าเลข 3 แล้ว ดูเป็นเรื่องใหญ่ วันเกิดครบรอบ 30 ปีของเกรซรู้สึกอย่างไรกับตัวเองบ้าง

เกรซยังรู้สึกว่าตัวเองอายุ 20 อยู่เลย ไม่รู้สึก 30 และไม่ยอมรับด้วย เป่าเทียนเสร็จปุ๊บเอาเทียนไขตัวเลขออก ตอนเด็กๆ เรารู้สึกว่าโอเค ฉันคงจะแต่งงานตอนอายุ 25 แต่ตอนอายุ 25 ฉันยังดูดชานมไข่มุกอยู่เลยจ้า จะไปแต่งงานอะไรจ๊ะ

 

ตอนนี้พอเราเริ่มเป็นนักแสดงอิสระ เราเริ่มมีไฟในการทำงาน เรายิ่งมองข้ามการแต่งงาน มันคือ Mid-life มันก็ถึงจุดแยกว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร แต่ตัวเกรซก็คือยังรู้สึกแฮปปี้กับการทำงานตรงนี้อยู่ แล้วก็รู้สึกว่าอยากที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างอยู่เลย โดยที่ยังไม่ได้คำนึงถึงชีวิตคู่หรืออะไร เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า เราจะไปมีครอบครัว เราดูแลครอบครัวตอนนี้ของเราดีแล้วหรือยัง พ่อ แม่ น้อง อา คุณยาย คนที่ยังเหลืออยู่ เราดูแลเขาดีหรือยัง อันนี้สำคัญนะ เพราะเกรซรู้สึกว่าตราบใดที่เรายังเติมไม่เต็มให้กับครอบครัว เรายังไม่กล้าคิดที่จะมีครอบครัวในอนาคตข้างหน้า

 

เราเห็นคุณค่าของเวลามากๆ แต่เราใช้มันไปกับอะไรบ้าง เกรซจะไม่ใช้มันไป 100% กับการทำงาน เพราะถึงวันหนึ่งที่เราทำงานแล้วมองกลับมาไม่เห็นหรือไม่เหลือใครเลย เราจะชื่นชมความสำเร็จนั้นกับใคร

 

ชีวิตในวงการบันเทิงที่ผ่านมาสอนอะไรคุณบ้าง มีอะไรที่เติมเต็มหรือขาดหายไปจากตัวตนของคุณบ้าง

เกรซรู้สึกขอบคุณนะ ขอบคุณทุกๆ ก้าวของชีวิตที่ผ่านเข้ามา ขอบคุณทุกๆ อย่างที่มันหล่อหลอมเรา ทุกความผิดหวัง ทุกความสมหวัง มันทำให้เราแกร่งขึ้น แล้วเกรซก็เป็นเกรซแบบนี้ เกรซไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกรซอายุ 15 หรือ 20 มันค่อยๆ เป็นมาเรื่อยๆ มันทำให้เราเข้าใจโลก ทำให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต และเราก็รู้สึกว่าเวลาของเรามันช่างมีค่า

 

มันอาจจะมีภาษีมากกว่าคนอื่นที่เราเป็นนักแสดง แต่เรากลับรู้สึกว่าในอีกมุมหนึ่งเราก็ขาดชีวิตวัยเด็ก ขาดชีวิตวัยรุ่นไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเราก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราได้มามันมากกว่านั้น มันทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ มันทำให้เราได้เป็นที่รักของใครหลายๆ คน ทำให้เราได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาผ่านสื่อ ผ่านกล้อง ผ่านอะไรก็ตาม รู้สึกเต็มไปด้วยคำขอบคุณค่ะ เกรซไม่มีอะไรที่อยากจะกลับไปแก้ไขเลย มันมีแต่ความสุข ความทุกข์มันก็มีบ้าง ผิดหวังและสมหวังเป็นเรื่องปกติ ด้วยความที่เราโตเร็วและทำงานกับคนที่อายุมากกว่ามาตลอด เราจะเห็นอะไรที่มันมากกว่า ประสบการณ์ตรงนี้มันมีค่า มันคือสิ่งที่หล่อหลอมให้ใจเราแข็งแกร่งขึ้น 

 

 

หลังจากนี้ในก้าวใหม่ของการทำงาน คุณคิดว่าสิ่งไหนจะกระทบความรู้สึกของคุณ ทำให้คุณสูญเสียกำลังใจหรือพลังในการทำงาน แล้วคุณจะรับมือกับมันอย่างไร

ถ้าถามเกรซว่าทุกวันนี้อะไรที่จะกระทบความรู้สึก เกรซก็ไม่รู้สึกว่าอะไรเป็นปัญหานะ หรือเพราะฉันด้านวะ แต่เกรซก็ไม่รู้สึกว่าอะไรที่มันจะทำให้เรารู้สึกท้อถอยหรือรู้สึกแย่ เพราะเราผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะแล้ว แล้วเราเข้าใจวัฏจักรของวงการ วัฏจักรของการทำงาน ทุกคนก็ต้องทำเต็มที่ในโอกาสนั้นๆ อาจจะเบียดเบียนหรือบั่นทอนคนข้างๆ บ้างนิดหน่อย ถ้าเราปล่อยให้มันผ่านไปได้มันก็โอเค

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

FYI
  • เกรซ-กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า ผันตัวออกมาเป็นนักแสดงอิสระ หลังจากใช้ชีวิตกับสังกัดเดิมมา 15 ปี และ ‘เริงริตา’ คือผลงานแรกของเธอ ออกอากาศทางช่อง GMM25 ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.30 น. รับชมย้อนหลังได้ทาง VIU
  • ติดตามชีวิตและกิจกรรมส่วนตัวของเธอได้ทาง Instagram @gracekanklao
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X