จอส-เวอาห์ แสงเงิน คือนักแสดงชื่อแปลกหูที่เมื่อฟังชื่อแวบแรก เรากลับนึกถึงชื่อนักฟุตบอลในตำนานของทีมเอซีมิลาน แทนที่จะนึกว่าเป็นชื่อนักแสดงไทย เขากำลังก่อร่างสร้างชื่อเสียงในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ในวงการบันเทิง ตั้งแต่การรับบทเป็นไบเซ็กชวลในซีรีส์ 3 Will Be Free หรือการเป็นหนุ่มไซด์ไลน์ในละคร เกมรักเอาคืน ที่ทำให้ชื่อตัวละครอย่าง ‘ป้องกุล’ เป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าบทบาททั้งสองนี้จะค่อนข้างเป็นความท้าทายสำหรับนักแสดงวัย 23 ปีคนหนึ่งที่แทบจะไม่เคยมีประสบการณ์ทางการแสดงใดๆ มาก่อนเลย
สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้นอกเหนือจากเสน่ห์ของความเป็นชายที่แผ่ซ่านออกมาทางร่างกายของเขา เวอาห์คือมนุษย์ที่มีทัศนคติที่ดีคนหนึ่ง โดยเฉพาะความหลากหลายและความแตกต่างที่เป็นประเด็นสำคัญในโลกปัจจุบันที่เราควรทำความเข้าใจ และเราก็ได้โอกาสมานั่งสนทนากับเขาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าทัศนคติที่พลุ่งพล่าน เข้าอกเข้าใจโลก ดูจะเป็นเสน่ห์ที่แข็งแรงที่สุดของนักแสดงคนนี้ รวมถึงการพุ่งตัวเข้าไปหาโอกาสต่างๆ ในชีวิต และขับมันออกเป็นเชื้อไฟในชีวิต เราจึงยิ่งอยากจะให้นักแสดงคนนี้โลดแล่นอยู่ในวงการเพื่อพิสูจน์ตัวเองไปนานๆ
ชื่อ จอส เวอาห์ ได้มาอย่างไร
ก็เป็นชื่อนักฟุตบอลคนหนึ่งของทีมเอซีมิลาน นักฟุตบอลผิวสีรุ่นยุค 80 หรือ 70 นี่ล่ะครับ แล้วตอนนี้เป็นประธานาธิบดีของประเทศสักประเทศหนึ่ง ผมไม่แน่ใจ แต่ว่าตอนเด็กๆ ไม่ชอบชื่อนี้ เพราะว่ามันไม่เหมือนใครครับ ตอนเด็กๆ ผมมีความคิดว่าอยากจะเหมือนคนอื่น ไม่อยากเแตกต่าง แล้วก็รู้ตัวว่าเราไม่ใช่ลูกครึ่ง แล้วชื่อเวอาห์ คนก็ถามตลอดว่าแปลว่าอะไร แต่พ่อบอกว่าพจนานุกรมที่พ่อเจอแปลว่า ‘ผู้มาจากสวรรค์’ พูดแล้วผมจั๊กจี้เลย (หัวเราะ) แต่ตอนโตผมรู้สึกว่า เฮ้ย ในยุคที่เรากล้าที่จะแตกต่าง เรากล้าที่จะยอมรับตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง ผมก็รู้สึกว่าชื่อนี้เท่ดี ชอบเลย ขอบคุณพ่อมากที่ตั้งชื่อนี้ให้
ถ้าให้คุณลองอธิบายตัวเองให้เรารู้จัก จริงๆ แล้วมนุษย์ที่ชื่อ จอส เวอาห์ เป็นใคร
ตอนนี้ถ้าถามว่าผมเป็นใคร ผมก็กล้าพูดได้เต็มปากแล้วว่าเป็นนักแสดงครับ พอเรามีผลงานมา 2 เรื่องที่รับเป็นบทหลัก ซีรีส์เรื่องหนึ่ง 3 Will Be Free สามเราต้องรอด และละครเรื่องหนึ่งคือ เกมรักเอาคืน ผมก็กล้าพูดว่าผมเป็นนักแสดง ถ้าคนที่ยังไม่รู้จักผม ผมจะพูดว่ายังไงดี… ผมก็เป็นเด็กอายุ 23 ปี ซึ่งก็ไม่ได้เด็กขนาดนั้น จบนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ทำงานเป็นบล็อกเกอร์กับพี่ๆ ในรายการ ‘ดูมันดิ’ แล้วก็เข้าวงการมาเป็นนักแสดงด้วยโอกาสและความบังเอิญมั้งครับ เพราะผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะเป็นนักแสดง แล้วผมก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ชอบเล่นกีฬามาก เป็นสายกีฬา ไม่ใช่สายดนตรี เล่นกีฬา บาสเกตบอล ฟิตเนส ว่ายน้ำ ต่อยมวย เป็นคนที่แอ็กทีฟมากๆ
คนมักเข้าใจผิดว่าคุณเป็นลูกครึ่ง ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่
ไม่ใช่ครับ (หัวเราะ) ผมเป็นคนอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งคุณพ่อคุณแม่เลยครับ เป็นคนนครฯ เหมือนกัน ผมก็โตมาที่โน่นตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 12 ปี แล้วก็ย้ายมากรุงเทพฯ เพราะว่าคุณพ่อคิดว่าอยากให้มีสังคมที่ดี อยู่ที่โน่นเขาคงกลัวผมเกเรมั้งครับ เพราะตอนนั้นก็มีส่อแววอยู่นิดๆ หน่อยๆ
ความเกเรที่ว่าคืออะไร คุณพ่ออาจกลัวคุณเสียคนหรือเปล่า…
ผมไม่ได้เป็นคนเกเรนะครับ คือคนชอบมาหาเรื่อง ผมก็งงเหมือนกัน จำได้เลยว่าโดนเพื่อนล้อมจะมีเรื่อง ตอนนั้นประมาณ ม.1 ครับ มีเพื่อนคนหนึ่งที่โตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันมาตลอด แต่ว่าไม่ได้สนิทกันมาก แต่พอขึ้น ม.1 ปุ๊บ เขาก็รู้สึกว่าถ้าใครที่มีรุ่นพี่ที่เป็นแก๊ง เขาก็จะ power up ขึ้นมา แล้วมันก็จะมาหาเรื่องเรา บอกว่าเราไปมองหน้ามัน ตอนนั้นก็ตกใจ จะร้องไห้แล้ว แต่ก็ข่มไว้ สุดท้ายโชคดีที่เพื่อนเคลียร์ให้ได้ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจอยากจะมีเรื่องอยู่แล้ว แต่คุณพ่อทราบและบวกกับอะไรหลายๆ อย่าง เขาคิดว่าการศึกษาที่กรุงเทพฯ น่าจะดีกว่า ก็เลยให้ผมไปเรียนที่กรุงเทพฯ
เคยได้ยินว่าคนนครฯ เป็นคนเลือดร้อน เป็นคนจริง ตรงไปตรงมา จอสเป็นคนนิสัยแบบนั้นหรือเปล่า
ใช่ๆ เขาบอกคนนครฯ เป็นคนพูดเร็ว ดุ เลือดร้อน ส่วนคนหาดใหญ่จะเป็นภาษาใต้ที่สุภาพหน่อย อันนี้ผมก็ว่าไม่รู้ว่า stereotype มันมาจากไหน ผมว่ามันก็ไม่เสมอไป แต่ก็เคยได้ยินหลายคนที่เขาพูดแบบนั้น แต่ผมเป็นคนใจเย็นมากๆ ยากมากที่จะทำให้ผมสติหลุดได้ เพราะซึมซับมาจากครอบครัว ทุกคนเขาใช้เหตุผลตลอด สำหรับผม ถ้าเรื่องความเลือดร้อน ใจร้อน แน่นอนว่าเวลาทะเลาะกันอาจจะมีอะไรไม่พอใจกันบ้าง แต่ว่าถ้าเลือดร้อนไป โมโหไปก็ทำอะไรไม่ได้
สองคาแรกเตอร์ที่คุณเคยเล่นมาทั้ง ‘นีโอ’ และ ‘ป้องกุล’ รู้สึกอย่างไรกับผลงานตัวเองบ้าง มีอะไรจากบทบาทเหล่านี้ที่เปลี่ยนแปลงตัวคุณ
สำหรับตัวนีโอจากซีรีส์ 3 Will Be Free เหมือนผมได้เข้าใจและยอมรับในเรื่องความรักมากขึ้น หมายถึงว่าพอเข้าไปรับบทตัวละครที่เป็นไบเซ็กชวล ไอ้ความรู้สึกดีๆ เนี่ยมันรู้สึกดี นีโอมันรู้สึกดีกับใครมันก็แสดงออก ซึ่งผมว่าสองคนนี้ก็คล้ายๆ กัน ทั้งนีโอกับป้องกุล คือเขาเป็นคนซื่อสัตย์กับความรู้สึกเหมือนกัน แต่ตัวนีโอไม่จำกัดว่าจะรักผู้หญิงหรือจะชอบผู้ชาย เพราะเมื่อรู้สึกดีกับใครก็แสดงออกไปเลย ตัวผมเองก็รู้สึกว่ามันก็ถูก
พอก้าวเข้าไปอยู่ในตัวละครนั้น มันก็เกิดการตั้งคำถามว่าเราจะลองก้าวผ่านได้ไหม เพราะว่าตัวผมชอบผู้หญิง แต่จะทำยังไงให้เป็นตัวละครนั้นมากที่สุด ผมก็ต้องพยายามเชื่อว่าตัวเองรู้สึกดีกับตัวละคร ชิน (รับบทโดย เต-ตะวัน วิหครัตน์) มากจริงๆ และถ้าเราเชื่อ เราก็ก้าวผ่านได้ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ ยิ่งตอนนี้ LGBT Community เขากำลังมีความเคลื่อนไหว Love is Love ครับ ผมก็ยิ่งเห็นด้วย บางทีเราไม่ต้องเข้าใจทุกอย่างว่าตัวเลือกของคนอื่นจะเป็นยังไง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เขาอยากจะเลือกอะไรในชีวิต เราก็ควรจะเคารพเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งมากกว่าที่จะไปตัดสินเขา บางทีไม่ต้องเข้าใจทุกอย่างก็ได้ แต่แค่ยอมรับแล้วก็เคารพ ไม่ต้องไปออกความคิดเห็นอะไร
พอก้าวเข้าไปอยู่ในตัวละครไบเซ็กชวล มันก็เกิดการตั้งคำถามว่าเราจะลองก้าวผ่านได้ไหม เพราะว่าผมชอบผู้หญิง แต่จะทำยังไงให้เราเป็นตัวละครนั้นมากที่สุด ผมก็ต้องพยายามเชื่อว่าตัวเองรู้สึกดีกับตัวละครผู้ชายมากจริงๆ และถ้าเราเชื่อ เราก็ก้าวผ่านได้
ดูเหมือนคุณจะเป็นคนที่เข้าใจความหลากหลายและความแตกต่างได้น่าสนใจ นอกจากซีรีส์ที่เล่นแล้วมีอะไรที่ทำให้คุณเข้าใจความหลากหลายหรือแตกต่างที่เกิดขึ้นในสังคมอีก
โชคดีที่ผมชอบดูสแตนด์อัพคอเมดี้เยอะ แล้วคอเมเดียนของเมืองนอก โดยเฉพาะที่อเมริกา เขาจะมีความคิดที่กล้าพูดออกมาเลย ซึ่งบางครั้งมันอาจจะไม่ดี บางครั้งมันอาจจะไม่ตลกและดูก้าวร้าว แต่มันมีหลายๆ อย่างให้เราคิดครับ ส่วนใหญ่คือได้ข้อคิดกลับมาตลอด ถึงแม้ว่าความฮาของแต่ละคนเราอาจจะไม่เข้าใจ แต่มันก็เป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ อย่างเรื่อง Free Speech, LGBT หรือ Rasicm ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้น ซึ่งความหลากหลายของมันคือเสน่ห์สำหรับผมนะ เนื่องจากว่าอเมริกาเขามีการรวมหลายๆ วัฒนธรรม หลายๆ เชื้อชาติ ทำให้ความคิดของคนเราต่างกัน แต่ทำไมเขาสามารถคุยกันได้โดยที่ไม่มีปัญหากัน เพราะว่าเขานับถือกันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แล้วภาษาอังกฤษมันเป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ การฟังเพลง หรือว่าสำเนียงของมัน มันทำอะไรได้หลายๆ อย่างมาก ผมก็เลยชอบตรงนั้นครับ
ถ้าให้สมมติว่าตอนนี้คุณเป็นพลเมืองชาวอเมริกัน คุณจะทำอะไรอยู่
ฝันจริงๆ เลยนะครับ ผมอยากเป็นนักบาสเกตบอลทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เพราะไอดอลของผมคือ เลอบรอน เจมส์ และถ้าคุยเรื่อง NBA กับผมจะคุยได้ทั้งวัน ผมชอบเล่นบาสมาก มันเริ่มจากที่ผมเป็นนักกีฬา ผมก็เลยอยากเป็นนักกีฬาจริงจัง
ชอบเล่นบาสเกตบอลตั้งแต่เมื่อไร
ตอนอายุ 11 ปีครับ ตอนนั้นกำลังจะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ ผมชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ชอบตั้งแต่อนุบาลเลย แล้วผู้หญิงคนนี้เขาชอบเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง ซึ่งไอ้นี่เล่นบาสเก่งมาก แล้ววันนั้นจำได้ว่าชวนกันไปเล่นสามคน ผมก็วิ่งตาม คนเล่นไม่เป็นก็วิ่งตามๆๆ อย่างเดียว (หัวเราะ) แต่ก็สนุกนะ ก็เริ่มเอ็นจอย รู้สึกว่าเป็นกีฬาที่น่าสนใจ ผมก็เลยเริ่มฝึกเล่น เล่นไปเรื่อยๆ และพอย้ายไปกรุงเทพฯ ปุ๊บ ผมก็ไปร่วมทีมไฮสคูลที่กรุงเทพฯ มาเรียนโรงเรียนอินเตอร์อีก ได้ทุนนักกีฬา ก็เลยตกหลุมรักการเล่นบาสไปเลย แต่พอมาตอนนี้ก็เล่นสนุกๆ พอไม่ได้เล่นเยอะเหมือนเมื่อก่อนก็เปลี่ยนไปดูแทน เพราะว่ามันก็เป็นการแข่งขันที่ทำให้ผมสนุก
คุณล้มเลิกความคิดที่จะเป็นนักกีฬาไปตอนไหน พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม
ผมล้มเลิกความคิดการเป็นนักกีฬาบาสตอนอายุ 17 ปี เพราะผมเจ็บ ข้อเท้าพลิก ก็เล่นไม่ได้ไปเลย 3-4 เดือน แล้วผมเจ็บในช่วงก่อนทัวร์นาเมนต์แค่ 3 วันครับ ตอนนั้นร้องไห้หนักมาก เพราะซ้อมหนักมาก สำหรับผมตอนนั้นคือเรื่องใหญ่มากนะ เพราะซ้อมหนักมาก 3-4 เดือน ผมร้องไห้เพราะเครียด กว่าจะฟื้นตัวได้ทั้งจิตใจและร่างกายก็ใช้เวลา ก็เลยกลับมาตกผลึก มาคิดกับตัวเองว่ามันคุ้มเหรอที่เล่นแบบนี้ แล้วเมื่อก่อนความรู้ผมก็ไม่ได้เยอะ ก็เลยตัดสินใจว่าลุยเรียนดีกว่า หมายถึงว่าลองหาแพสชันอะไรใหม่ๆ ดีกว่านอกจากการเล่นกีฬาบาส ผมเลยตัดสินใจดรอปจากไฮสคูลไปเลย ก็ทิ้งตรงนั้นไปเลยนะ มันไม่เชิงความฝัน แต่มันคือเป้าหมายตอนแรกที่อยากจะติดทีมชาติ
คุณผ่านความเจ็บปวดตอนนั้นมาได้อย่างไร มันดูเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเด็กอายุ 17 ปี
ผมก็จำความรู้สึกไม่ค่อยได้เหมือนกัน ตอนที่ตัดสินใจไปบอกเพื่อนว่าจะดรอปปุ๊บ ผมก็ไม่ค่อยได้ไปเรียน แล้วนึกดูว่าบ้านผมอยู่ข้างโรงเรียนเลย เพื่อนก็มาหา มาถามว่า เฮ้ย ทำไมมึงไม่ไปเรียน ผมก็ตอบว่าน่าจะออกว่ะ สำหรับผม สิ่งหนึ่งที่ทีมบาสให้ผมคือครอบครัวหนึ่งเลยครับ ซ้อมด้วยกัน ไปแข่งด้วยกัน บินไปแข่งต่างจังหวัดด้วยกัน ผมก็เลยผูกพัน แล้วพอออกจากทีมมันก็นอยด์ แต่ก็คิดว่าคงตัดสินใจดีแล้วล่ะ ตอนที่บอกพ่อ พ่อก็ถามว่าจะยังไงดี เพราะมันคือการดรอปจากโรงเรียนไปเรียนโฮมสคูล ผู้ปกครองส่วนใหญ่เขาก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ผมก็โน้มน้าวเขาจนได้ ก็เลยมีความรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นให้ได้ว่าเราทำได้
แล้วคุณผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาได้อย่างไร
อะไรที่ผ่านมา ทั้งพ่อทั้งแม่ บางทีเขาไม่เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่เขาก็ให้ผมตัดสินใจ ผมก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่มีพ่อแม่ที่เข้าใจแบบนี้ เขาให้ผมทุกอย่างเลย ให้โอกาส อย่างการเรียนโรงเรียนอินเตอร์ก็เป็นความคิดของผมเหมือนกัน ไหนจะเรื่องการแสดง พ่อและแม่ก็สนับสนุนมาตลอด ตอนนั้นก็เริ่มไปแคสต์งานในวงการและงานโฆษณาบ้างเหมือนกัน แต่ผมก็ยังเด็กอยู่ ยังขี้อายอยู่เลยครับ ก็มีไปบ้าง แต่ไม่เคยได้เลย จนปี 2 จะขึ้นปี 3 แคสต์ไปแคสต์มาก็ได้มารู้จักกับพวกพี่ๆ ดูมันดิ พี่ป๊อปปี้ (รัชพงศ์ อโนมกิติ) พี่ปาร์ค (ภาณุภัทร อโนมกิติ) เขาก็เลยชวนมาทำงานด้วยกัน
จากซีรีส์ 3 Will Be Free มาถึงละคร เกมรักเอาคืน น่าจะเป็นบทพิสูจน์ตัวเองบทใหม่ของคุณ การทำงานกับนักแสดงเก่งๆ ช่วยให้คุณปรับตัวอย่างไร
การถ่ายซีรีส์ก็แบบหนึ่ง มันก็มีความคล้ายและก็มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกันเลย อย่างในละคร เกมรักเอาคืน เหมือนผมเป็นเด็กคนเดียว แล้วนักแสดงที่เหลือเขาเป็นมืออาชีพ ประสบการณ์อย่างน้อย 10 ปี มันก็มีความกดดัน แต่ก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ ขอบคุณผู้กำกับ ขอบคุณทาง GMM TV ที่ส่งผมเข้าไป ที่เขามั่นใจในตัวผม เขาก็คุยกับผมนะว่าความสามารถยังไม่ถึง แต่เขาดูซีรีส์จากเรื่องที่ผ่านมา อย่างน้อยเรามีความพยายาม ทัศนคติเราได้ แล้วเขาเห็นศักยภาพในตัวเรา ซึ่งก็เหมือนกันกับพ่อแม่ที่ให้โอกาสผม และผมจะทำให้เต็มที่
ตอนไปทำงานกับพี่นุ่น (วรนุช ภิรมย์ภักดี) แรกๆ ก็เกร็ง เพราะว่าเขารุ่นใหญ่ ผมดูเขามาตั้งแต่เด็กๆ แต่ทุกคนก็ใจดี ใจเย็นกับผมมาก มันก็มีดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ผมก็พยายามตลอด ตอนแรกเครียดมาก แต่ตัวพี่นุ่นเอง ผมต้องให้เครดิตเขามากๆ เพราะว่าถ้านักแสดงรุ่นใหญ่มาเจอเด็กแบบผม บางทีเขาไม่ต้องสนผมก็ได้ พี่โอ๋-กฤษฎา เตชะนิโลบล ผู้กำกับของเรื่อง เคยบอกผมว่าอย่าไปห่วงว่าเราจะถ่วงคนอื่น ถ้าสมมติเราแสดงไม่ดี ก็มีแค่เรานี่ล่ะที่ไม่ดี เพราะคนอื่นเขารอดอยู่แล้ว ผมเลยต้องพยายามถีบตัวเอง พยายามดันตัวเองให้เร็วที่สุด ขนาดเคยมีที่ผมเล่นไม่ได้ พี่โอ๋ก็ถามว่า เฮ้ย จอสเป็นอะไร แต่พี่นุ่นคือแบบ ไม่เป็นไร ค่อยๆ นะ เหมือนเขารู้ว่าจะเข้าหาตัวนักแสดงยังไงเพื่อให้กำแพงนั้นมันหายไป เพราะไม่เกิน 5 คิวก็สนิทกันแล้ว ทำให้แสดงง่ายขึ้น
ถ้าให้คุณให้คะแนนตัวเองล่ะ
ไม่เยอะ ให้ 5 มั้งครับ เพราะรู้เลยว่ายังเล่นไม่ดี ยังจับผิดจับถูกอยู่ แต่ก็ต้องเรียนเพิ่มเติมตลอด เพราะถ้าไม่มีพื้นฐานมาตั้งแต่แรกมันก็จะหายไป แต่โชคดีที่ผู้กำกับเขาสอนผมทุกครั้ง กลับบ้านไปผมได้อะไรกลับมาด้วยตลอด แม้กราฟพัฒนาการมันจะไม่ได้พุ่งมาก แต่มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังๆ จะรู้แล้วว่าเวลาแอ็กติ้งเราสบายตัวหรือเปล่า
พอไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นนักแสดง แล้วแรงจูงใจอะไรในตัวคุณที่ผลักดันให้คุณอยากทำงานตรงนี้ให้ดี
โอกาสครับ พอได้โอกาสปุ๊บแล้วมันสนุกครับ ตอนนี้ผมก็พูดเต็มปากไม่ได้ว่าผมรักการแสดง แต่ว่าผมชอบ ผมสนุกมาก แล้วมันท้าทายมาก มันเป็นอะไรที่ใหม่หมดเลย เวลาทำไม่ได้ก็มีเครียดบ้างเป็นปกติ แต่พอผ่านจุดที่เราทำได้แล้วไม่ท้อ แล้วมันรู้สึกภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าติดลม ตอนนี้ก็อยากลองอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งผมก็ยังเป็นนักแสดงหน้าใหม่อยู่ พอยิ่งมีคนเริ่มรู้จักมากขึ้น เรื่องต่อไปที่จะเล่นก็ต้องพิสูจน์ให้คนเห็นแล้วว่าผมแสดงได้ บางทีพอเป็นเด็กใหม่ คนก็จะมองว่ายังเด็กอยู่ ไม่เป็นไร แอ็กติ้งนิดๆ หน่อยๆ เขาปล่อยผ่านได้ แต่เรื่องต่อไปคนเขาจำหน้าได้แล้ว เราต้องพัฒนาตัวเองให้เขาเห็นอีก ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะมากน้อยแค่ไหน ผมก็ต้องใส่ใจรายละเอียด ผมจำคำพูดของครูสอนการแสดง ครูหลี่เจิน (ณัชชานิษฐ์ จิรรุ่งโรจน์) บอกกับผมว่า เป็นคนที่อยู่ในเทรนด์น่ะมันง่าย คุณหน้าตาดีก็แป๊บเดียว แต่ถ้าคุณอยากอยู่ในวงการนานๆ คุณก็ต้องใส่ใจรายละเอียด ทำการบ้าน เรื่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในคาแรกเตอร์เป็นเรื่องสำคัญ ไม่อย่างนั้นก็จะเล่นเหมือนเดิมทุกอัน
ถ้าเราแสดงดีในอนาคต มีบทที่มันไม่ต้องถอดเสื้อก็คงดี ผมเข้าใจว่าเรามีหุ่นที่ดี เขาก็ต้องมองตรงนั้นเป็นเรื่องปกติ และเป็นหน้าที่ของเราเหมือนกันที่ต้องทำให้คนอื่นเห็นว่าเรามีดีมากกว่าถอดเสื้อ
สิ่งหนึ่งในตัวคุณนั้นคือเรือนร่างที่ดูเหมือนว่าผู้ชมและสื่อเองจะให้ความสนใจมาก เช่น ทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับคุณก็มักจะเห็นรูปถอดเสื้อโชว์เรือนร่างเป็นภาพประกอบข่าวทุกครั้ง คุณคิดว่าผู้ชมและคนภายนอกมองเห็นตัวคุณเพียงแค่เพราะว่าหน้าตาดีและหุ่นดีแค่นั้นหรือเปล่า
ผมห้ามสื่อไม่ได้หรอกครับ แต่ผมก็ตั้งมันเป็น sub-goal เหมือนกันว่าถ้าเราแสดงดี ในอนาคตมีบทที่มันไม่ต้องถอดเสื้อก็คงดี ผมเข้าใจว่าเราสูง แล้วเราก็ออกกำลังกาย เรามีหุ่นที่ดี เขาก็ต้องมองตรงนั้นเป็นเรื่องปกติ ผมไม่ติดเลย ผมก็รู้สึกว่าเราออกกำลังกายมาขนาดนี้ เราก็ต้องโชว์นิดหนึ่งเนอะ เป็นเรื่องปกติ และเป็นหน้าที่ของเราเหมือนกันที่ต้องทำให้คนอื่นเห็นว่าเรามีดีมากกว่าถอดเสื้อ
คุณต้องเคยพบเจอคอมเมนต์ที่เข้ามาล่วงละเมิดเรื่องเพศและร่างกายของคุณบ้าง คุณคิดเห็นและรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร
ส่วนตัวผมนะครับ รู้สึกว่าคอมเมนต์พวกนี้ผมไม่ได้ซีเรียสกับมัน อ่านแล้วก็ยิ้ม ผมมองว่ามันเป็นการชมครับ เพราะผมอาจจะมีภูมิต้านทานเยอะในเรื่องแบบนี้ ผมไม่ได้ซีเรียส ไม่ได้มองว่าเป็นการล่วงละเมิด และถ้าจะมองว่ามันเป็น Sexual Harassment หรือเปล่า ผมก็รู้สึกว่าแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน แต่ว่าถ้าถามตัวผมเอง ผมโอเค เพราะว่าไม่ได้รู้สึกเดือดร้อน แต่ถ้าสมมติว่าเดือดร้อนจริงๆ ผมรู้สึกว่าเรามีสิทธิ์ที่จะสามารถออกมาพูดว่า เฮ้ย คุณไม่ควรทำแบบนี้นะ เพราะว่าในเรื่องแบบนี้ ผู้หญิงกับผู้ชาย ผมกล้าพูดเลยว่ามันไม่เท่ากัน
แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งที่เขาโดนแบบนี้เหมือนกัน โดนคอมเมนต์อะไรที่มันเป็น Sexual Harassment (การล่วงละเมิดทางเพศ) ถ้าเขากล้าที่จะพูดออกมา เราก็ควรเคารพ ให้สิทธิเขา ถึงแม้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่อาจจะคิดเหมือนผมว่า โอเค พูดไปเลย ถือว่าเป็นคำชม ไม่ซีเรียส แต่ถ้ามีคนหนึ่งที่เขาไม่โอเค เราก็ควรจะเคารพเขา แล้วถ้าสมมติว่ามีเพื่อนผมที่โดนเหมือนกัน ผมก็กล้าที่จะซัพพอร์ตเขาว่าคนนี้รู้สึกไม่โอเคนะ ไม่ควรพูด ถ้าคุณเป็นแฟนคลับหรือคนที่ติดตาม ถ้าเจ้าตัวบอกว่าไม่โอเค ก็ควรเคารพสิทธิ์นั้นๆ การที่ส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้แปลว่ามันถูกต้อง
เป้าหมายระยะสั้นในชีวิตหลังจากนี้
ผมอยากลุยการแสดงให้ได้มากที่สุด เก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วก็สร้างผลงานที่ดี พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 ปีนี้ แล้วก็จะพยายามทำธุรกิจที่ชอบ แพสชันอะไรที่ผมชอบ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากโกอินเตอร์ด้วยครับ เพราะว่าผมชอบภาษาอังกฤษ ผมอยากมีซีรีส์หรือว่าภาพยนตร์สักเรื่องที่ได้พูดภาษาอังกฤษเต็มๆ น่าจะดี
ฝันถึงฮอลลีวูดเลยไหม
ถ้าเป็นไปได้นะ (หัวเราะ) เราก็ไม่ได้ The sky’s the limit มีเป้าหมาย ทำได้ไม่มีขีดจำกัดขนาดนั้น แต่ว่าก็ทำตรงนี้ให้เต็มที่ก่อน ตอนนี้มีงานอยู่ตรงหน้าแล้ว ซึ่งท้าทายมากๆ ตื่นเต้นเหมือนกัน
Model: Wayar Saengngoen
Styling: Thitikan Kanchanapakdee
Makeup Artist: Suteema Rachrattanarak
Special Thanks: Prada, Paul Smith, Loewe
Location: Quaint Bangkok
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ปีนี้เราจะได้ชมซีรีส์และละครของจอสอีกราว 2 เรื่อง ซึ่งเรื่องแรกคือซีรีส์ Friendzone 2: Dangerous Area ที่เขาจะกลับไปร่วมงานกับผู้กำกับ โจ้-ทิชากร ภูเขาทอง จากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน 3 Will Be Free สามเราต้องรอด รวมถึงละครยาวอีกหนึ่งเรื่องคือการนำเอา ‘ไฟสิ้นเชื้อ’ กลับมารีเมกอีกหนึ่งครั้ง โดยเขาจะได้ประกบนักแสดงเก่งๆ ทั้ง หญิง-รฐา โพธิ์งาม, หยาด-หยาดทิพย์ ราชปาล, ฟลุค-เกริกพล มัสยวาณิช
- ติดตามชีวิตส่วนตัวของจอสได้ที่ Instagram @josswayar