×

เปิดบทสนทนาครั้งสุดท้ายของ โจ ไบเดน กับ สีจิ้นผิง ก่อนผลัดใบ อำลาตำแหน่งประธานาธิบดี “สหรัฐฯ และจีนไม่ควรทำสงครามเย็นครั้งใหม่”

18.11.2024
  • LOADING...
โจ ไบเดน สีจิ้นผิง

เมื่อวานนี้ (17 พฤศจิกายน) สีจิ้นผิง พบ โจ ไบเดน ในการประชุม APEC ที่ประเทศเปรู โดยถือเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของทั้งคู่ ก่อนที่สหรัฐฯ เตรียมผลัดใบสู่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

 

หลังจากนี้นานาประเทศต้องจับตาความสัมพันธ์ของนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองที่ทรัมป์ประกาศอย่างแข็งกร้าวต่อจีน ท่ามกลางการหารือครั้งนี้ที่ได้เน้นย้ำว่าจีนและสหรัฐฯ จะต้องเคารพซึ่งกันและกัน

 

นโยบายที่ทรัมป์ประกาศอย่างแข็งกร้าวต่อจีนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจะร้อนแรงมากขึ้นแค่ไหนภายใต้ทรัมป์ 2.0

 

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ผู้นำจีนได้ใช้โอกาสจากการพบปะกันครั้งสุดท้ายกับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อส่งสารถึง โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจีนต้องการเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ แต่ก็พร้อมที่จะต่อสู้หากจำเป็น

 

โดย โจ ไบเดน ในวัย 81 ปี เตรียมลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ในเดือนมกราคม 2025 ผู้นำจีนจึงใช้การพบปะกันครั้งนี้เป็นโอกาสในการชี้แจงแนวทางที่มีต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อปูทางให้ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสองประเทศให้อยู่ร่วมกันได้

 

โดย สีจิ้นผิง เน้นย้ำว่า “สหรัฐฯ และจีนไม่ควรทำสงครามเย็นครั้งใหม่ และความขัดแย้งระหว่างทั้งสองก็ไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

 

ผู้นำจีนยังคงย้ำถึง ‘เส้นแดง 4 เส้น’ (Four Red Lines) ของจีน โดยส่งสัญญาณว่าทรัมป์ต้องหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะบ่อนทำลายอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ การพยายามผลักดันประเทศให้ก้าวไปสู่ประชาธิปไตย ควบคุมการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือส่งเสริมเอกราชในไต้หวัน สื่อของรัฐบาลจีนอ้างอิงถึง ‘เส้นแดง 4 เส้น’ โดยกล่าวว่านี่คือวาระสำคัญต่อความสัมพันธ์ในอนาคต

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

แถลงการณ์อันยาวนานของสีจิ้นผิงหลังจากการสนทนาอำลากับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งในเวลาอันใกล้ แสดงให้เห็นว่าจีนกำลังหวังเปิดทางเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดระหว่างกัน

 

ในขณะเดียวกันก็เตรียมรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่สุดเช่นกัน เนื่องจากทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนมากถึง 60% และเลือกใช้ผู้มีแนวคิดหัวรุนแรงหลายคนเป็นหัวหน้าทีมนโยบายต่างประเทศของเขา รวมถึง มาร์โก รูบิโอ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และ ไมเคิล วอลซ์ เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ

 

สีจิ้นผิงมุ่งเจรจาประเด็นเศรษฐกิจ

 

ถ้อยคำของสีจิ้นผิงสะท้อนให้เห็นว่าจีนเปิดกว้างต่อการเจรจาเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจมากขึ้น รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน ซึ่งปักกิ่งขู่ว่าจะยึดครองด้วยกำลังหากจำเป็น โดยหลังจากเจรจากับไบเดนในครั้งนี้ สีจิ้นผิงได้เรียกชื่อผู้นำไต้หวันเป็นครั้งแรก โดยกล่าวว่าสหรัฐฯ ควรมองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของ ไล่ชิงเต๋อ อย่างชัดเจนในการแสวงหาเอกราช

 

ดังนั้นประเด็นร้อน ‘ทะเลจีนใต้’ สีจิ้นผิงจึงได้เตือนสหรัฐฯ ให้หลีกเลี่ยงข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรในสนธิสัญญาของสหรัฐฯ และเรียกร้องให้ไบเดนยุติการให้ความช่วยเหลือ

 

นอกจากนี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยชื่อประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม สีจิ้นผิงยังวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของสหรัฐฯ ต้องการกีดกันจีนให้ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยได้

 

อย่างไรก็ตาม รายงานการประชุมของทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำทั้งสองเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการด้านการแข่งขันของความสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบ เช่นเดียวกับการป้องกันความขัดแย้งและรักษาการสื่อสาร

 

สีจิ้นผิงยังพยายามอธิบายจุดยืนที่สหรัฐฯ ควรมีต่อจีนมากกว่าในอดีต รายงานของจีนมีคำว่า ‘ไม่’ ถึง 6 ครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับ 4 ครั้งหลังจากที่สีจิ้นผิงพบกับไบเดนที่บาหลี โดยระบุว่า “สหรัฐฯ ต้องไม่แสวงหาสงครามเย็นครั้งใหม่ ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงระบบของจีน พันธมิตรไม่ได้ตั้งเป้าไปที่จีน ไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน ไม่แสวงหาความขัดแย้งกับจีน และไม่มองว่านโยบายไต้หวันเป็นหนทางที่จะแข่งขันกับจีน” ซึ่งต้องติดตามดูต่อไปว่าทรัมป์และสมาชิกคณะรัฐมนตรีจะเห็นด้วยกับจุดยืนดังกล่าวหรือไม่

 

สำนักข่าว Al Jazeera รายงานว่า คำพูดของสีจิ้นผิงครั้งนี้ดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพรรครีพับลิกันอีกด้วย และสีจิ้นผิงเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ต้อง ‘เคารพซึ่งกันและกัน’

 

แม้ว่าสีจิ้นผิงจะไม่ได้เอ่ยชื่อทรัมป์ตรงๆ แต่เขายกย่องชัยชนะของทรัมป์ต่อไบเดน และทั้งสองยังได้พูดคุยเกี่ยวกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงนโยบายการใช้อาวุธนิวเคลียร์

 

โดยผู้นำทั้งสองยืนยันถึงความจำเป็นในการรักษาการควบคุมของมนุษย์ต่อการตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ต่อไป

 

ภาพ: Pool / Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X