เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เดินทางพบ จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ที่กรุงโรมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 เม.ย.) เพื่อหารือประเด็นภาษีระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป
เมื่อแวนซ์เดินเข้าสู่ลานด้านในของวังชีกี สำนักงานของนายกรัฐมนตรีอิตาลี เมโลนีกล่าวทักทายแบบเป็นกันเองว่า “ฉันคิดถึงคุณเลยนะ” โดยทั้งสองเพิ่งพบกันเมื่อวันก่อนหน้า ณ ห้องรูปไข่ (Oval Office) ที่ทำเนียบขาว ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี กล่าวชื่นชมเมโลนีอย่างมากในเรื่องการควบคุมผู้อพยพ แต่ก็ยังไม่ยอมลดแผนการขึ้นภาษี ซึ่งได้สร้างความตึงเครียดกับสหภาพยุโรปและกระตุ้นความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ในวันเดียวกัน สำนักงานของเมโลนีและทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะเดินทางเยือนอิตาลี “ในอนาคตอันใกล้” โดยในแถลงการณ์ยังกล่าวถึง “ความเป็นไปได้ในการจัดการประชุมระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรป” ในโอกาสดังกล่าวด้วย
เมโลนีพยายามวางบทบาทของตนเองเป็นสะพานเชื่อมระหว่างรัฐบาลทรัมป์กับยุโรป โดยเธอเป็นผู้นำเพียงคนเดียวจาก EU ที่เข้าร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ 2.0 นอกจากนี้ เมโลนียังมีจุดยืนที่สอดคล้องกับทรัมป์ในเรื่องการควบคุมผู้อพยพ และการสนับสนุนคุณค่าดั้งเดิม แต่ในประเด็นยูเครน ทั้งสองฝ่ายกลับมีมุมมองต่างกัน โดยเมโลนีแสดงจุดยืนชัดเจนในการสนับสนุนยูเครน ขณะที่ทรัมป์เลือกใช้นโยบายที่ซับซ้อนและไม่แน่นอนในประเด็นดังกล่าว
อีกหนึ่งแรงกดดันที่เมโลนีต้องเผชิญคือ มาตรการขึ้นภาษีของทรัมป์ ที่มีผลกระทบต่อสหภาพยุโรปในภาพรวม ซึ่งทำให้เธอต้องรักษาผลประโยชน์การค้าของกลุ่มประเทศยุโรปด้วย
ก่อนหน้านี้ ตลาดพันธบัตรเกิดภาวะตื่นตระหนก ทำให้ทรัมป์ยอมลดระดับภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรปจาก 20% เหลือ 10% เป็นเวลา 90 วัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังยืนยันเมื่อวันพฤหัสบดี (17 เม.ย.) ว่า เขา “ไม่รีบร้อน” ที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าใดๆ ในเร็ววัน
ขณะที่ แวนซ์ย้ำถึงมิตรภาพระหว่างสหรัฐฯ กับอิตาลี พร้อมบอกกับเมโลนีว่า เขามี “ความคืบหน้าที่น่าสนใจ” เกี่ยวกับการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่จะแจ้งให้ทราบ พร้อมทั้งกล่าวว่า การเจรจาการค้า “ครั้งใหญ่” จะยังคงดำเนินต่อไป
เยือนอินเดียต่อ แวนซ์ เรียกร้องความร่วมมืออินเดีย-สหรัฐฯ ที่แน่นแฟ้นขึ้น
แวนซ์เดินทางถึงอินเดียในเช้าวันจันทร์ (21 เม.ย.) พร้อมภรรยาอูชา และลูกทั้งสามคน โดยอูชา แวนซ์ เป็นลูกสาวของผู้อพยพจากรัฐอานธรประเทศในอินเดีย และมีรายงานว่า ครอบครัวแวนซ์ต้องการแนะนำลูกๆ ให้รู้จักรากเหง้าทางวัฒนธรรมของพวกเขา
แวนซ์ยังเรียกร้องให้อินเดียและสหรัฐฯ ร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น เพื่อสร้าง “ศตวรรษที่ 21 ที่รุ่งเรืองและสงบสุข” โดยกล่าวระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในเมืองชัยปุระ ระหว่างการเยือนอินเดียเป็นเวลา 4 วัน
“แต่ผมก็เชื่อเช่นกันว่า หากเราล้มเหลวในการร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ ศตวรรษที่ 21 อาจเป็นช่วงเวลาที่มืดมนสำหรับมนุษยชาติทั้งหมด” แวนซ์กล่าวเสริม
คำกล่าวของรองประธานาธิบดีมีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากเขาเข้าพบกับ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของอินเดีย โดยทั้งสองประเทศออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า มีความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคี ซึ่งอินเดียหวังว่าจะช่วยให้หลีกเลี่ยงการถูกขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ
ทั้งนี้ อินเดียเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่เร่งเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ภายใต้ช่วงเวลา “พักเบรกภาษี” 90 วัน ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ก่อนหน้านั้น อินเดียกำลังจะเผชิญภาษีนำเข้า 27% จากสหรัฐฯ แต่หลังการพักเบรก ทั้งสองฝ่ายก็เดินหน้าเจรจาเพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว
ในสุนทรพจน์ที่ชัยปุระ แวนซ์เปิดเผยว่า อินเดียและสหรัฐฯ ได้ตกลง “เงื่อนไขเบื้องต้น” สำหรับการเจรจาเรียบร้อยแล้ว เขากล่าวว่า “นี่คือก้าวสำคัญในการทำให้วิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีทรัมป์และนายกรัฐมนตรีโมดีกลายเป็นจริง เพราะเป็นการวางแผนโรดแมปสู่ข้อตกลงขั้นสุดท้ายระหว่างสองประเทศ” แวนซ์กล่าว พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมโมดีว่าเป็น “นักเจรจาที่แข็งแกร่ง” และ “เจรจาเก่งมาก” ซึ่งได้รับเสียงปรบมือจากผู้ร่วมงาน
แม้ทั้งทรัมป์และโมดีจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่อบอุ่น โดยโมดีเป็นผู้นำคนแรกๆ ที่เยือนทำเนียบขาวหลังทรัมป์เริ่มวาระสอง แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ยังคงวิจารณ์นโยบายภาษีของอินเดียอย่างตรงไปตรงมา โดยเคยเรียกอินเดียว่าเป็น “ราชาแห่งภาษี” และ “ผู้ละเมิดอย่างร้ายแรง” ในความสัมพันธ์ทางการค้า
แม้ว่าอินเดียจะทยอยลดภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และกำลังพิจารณาลดเพิ่มเพื่อสร้างความพอใจให้วอชิงตัน แต่ยังคงมีประเด็นที่ตกลงกันไม่ได้ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมที่อินเดียปกป้องอย่างแข็งขัน ขณะที่สหรัฐฯ ต้องการเข้าถึงตลาดมากขึ้น
แวนซ์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าสหรัฐฯ ต้องการขยายการส่งออกพลังงานและยุทโธปกรณ์ทางทหารมายังอินเดียด้วย โดยในการหารือเมื่อวันจันทร์ (21 เม.ย.) ทั้งสองผู้นำได้พูดคุยถึงความร่วมมือในด้านการป้องกันประเทศ เทคโนโลยีกลยุทธ์ และพลังงาน
หลังการประชุม โมดีกล่าวว่า เขาหวังว่าจะได้ต้อนรับประธานาธิบดีทรัมป์ที่อินเดียภายในปีนี้ ซึ่งเดลีจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดกลุ่มควอด (Quad) และทรัมป์คาดว่าจะเข้าร่วม
ภาพ: Kenny Holston / Pool via Reuters
อ้างอิง: