วันนี้ (19 สิงหาคม) จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวถึงการกลับไทยของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวัน 22 สิงหาคมนี้ว่า หากยังไม่เห็นตัวจริงอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าจะกลับไทย 100% เพราะช่วงนี้ก่อนโหวตยังอยู่ระหว่างการแบ่งกระทรวงของพรรคร่วมตั้งรัฐบาล ก่อนที่จะมีการแถลงของ 11 พรรคในวันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม ซึ่งพร้อมกับการแถลงของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ขณะเดียวกันในวันที่ 22 สิงหาคม ยังมีการตัดสินคดีทุจริตโรงพักของ สุเทพ เทือกสุบรรณ อีกด้วย
จตุพรกล่าวต่อว่า การตัดสินใจกลับของทักษิณนั้น สามารถเลือกวันอื่นกลับได้ แต่ความเขี้ยวลากดินที่คิดว่าการประกาศกลับบ้านไม่มีอะไรเสีย เพราะประกาศมาแล้วกว่า 20 ครั้ง คงเห็นแล้วว่าไม่ส่งผลอะไร หลายคนอาจเชื่อว่าแพทองธารเป็นคนประกาศเอง แต่ยังอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากหรือติดลบ เพราะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ด้วย ประกาศปิดสวิตช์ สว. – ปิดสวิตช์ 3 ป. – ไม่จับมือพรรค 2 ลุง จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในขณะนี้
“ถ้าคุณเศรษฐา ทวีสิน ยังไม่ถูกเปลี่ยนตัว ไปโหวตในวันที่ 22 สิงหาคมจะไม่ผ่านเสียง สว. จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หลายคนตั้งคำถามว่าจะไปเจรจาแบ่งกระทรวงกันทำไม มองว่าเป็นการตกลงกระทรวงให้เรียบร้อย เวลาเปลี่ยนก็เปลี่ยนเฉพาะหัวเท่านั้น ดังนั้นขณะนี้สิ่งที่ได้ประเมินค้างเอาไว้ จะมีการเปลี่ยนตัวกันหรือไม่ เช่น การเปลี่ยนจากเศรษฐามาเป็นอุ๊งอิ๊งหรือไม่ เพราะเกมสถานการณ์ขณะนี้ เพื่อความสมบูรณ์ที่สุดของการทรยศหักหลังทั้งปวง และเป็นการปิดฉากตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ต้องให้คุณอุ๊งอิ๊งเข้าไปสู่การโหวตนายกฯ แม้ถูกวิจารณ์แต่ก็ผ่าน” จตุพรกล่าว
จตุพรยังหยิบยกเรื่องประเด็นความน่าเชื่อถือหรือข้อครหาของแพทองธารไม่ต่างจากกรณีเศรษฐาเรื่องการทำธุรกรรม อาจถูกชำแหละวันโหวตและก็ผ่านโหวตได้ แต่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะก่อนจะถึงกระบวนการโปรดเกล้าฯ นำ ครม.ถวายสัตย์ฯ และแถลงนโยบายรัฐสภา ยังมีเวลาร่วม 1 เดือนที่ต้องติดตาม อาจได้เป็นนายกฯ คนที่ 30 นาน 1 เดือน จากนั้นอาจมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เว้นถูกล้มกระดานโดยการรัฐประหารเสียก่อน
จตุพรยังอ้างข้อมูลที่มีคนการเมืองไปเจรจากับทักษิณที่ฮ่องกงว่า ทักษิณยืนยันการกลับบ้านและการตั้งรัฐบาล ไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐจนมีกระแสในข่าวประเทศ แต่ก็ไม่ได้กลับไทยตามที่ประกาศไว้ในวันที่ 10 สิงหาคม จนต้องตระบัดสัตย์ด้วยการจับมือกับ 2 พรรคนั้น
“เห็นว่าการประกาศรอบนี้เพื่อหวังในการโหวตนายกรัฐมนตรี อาจมีการเปลี่ยนแท็กติกเพราะคนระดับนายทักษิณปฏิเสธการกลับบ้านเข้ากระบวนการยุติธรรมมาตลอด 15 ปี อยู่ดีๆ ตัดสินใจกลับมา คนไทยต้องอดทนและต้องดูวันที่ 22 ตอน 9 โมงว่าเห็นตัวเป็นๆ ของนายกทักษิณที่ดอนเมืองหรือไม่ ต้องไม่ลืมการประกาศกลับที่ผ่านมาเกิน 20 ครั้งมาแล้ว เพราะฉะนั้นนายทักษิณไม่มีอะไรเสียเรื่องตระบัดสัตย์ แต่ลูกสาวและพรรคเพื่อไทยไม่มีต้นทุนอะไรเหลือแล้ว” จตุพรกล่าว
จตุพรยังกล่าวอีกว่า จะบอกยึดสาระของนายทักษิณที่ประกาศกลับบ้านไม่ได้ เพราะประกาศมา 20 ครั้ง ส่วนตัวหวังให้ได้กลับมาเพราะจะได้ยุติในประเด็นของทักษิณ และตนไม่เชื่อว่าจะกลับมา 22 สิงหาคมนี้ นอกจากนี้ยังมีคดีความผิด 3 คดี รวมติดคุก 10 ปี ยังไม่เห็นคำแนบท้ายคำสั่งศาลว่ามีการนับโทษต่อหรือไม่ เพราะต้องรับโทษติดคุกไม่น้อยกว่า 4 ปี และหากสั่งนับรวมติด 3 ปีเศษ ส่วนการขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายในช่วง 5 ปีของการติดคุกของตัวเองนั้น เจออดีตรองนายกฯ และอดีตรัฐมนตรี อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หลายคนขอพระราชทานอภัยโทษเรื่องการ ทุจริตไม่เคยได้รับการอภัยโทษเลยแม้แต่กรณีเดียว และยังคงความเชื่อเดิมว่านายทักษิณกลับไทยแต่ไม่ต้องการที่จะติดคุก
ส่วนความคืบหน้าการตั้งรัฐบาลที่มีโผ ครม. เผยแพร่ออกมารายวันนั้น จตุพรกล่าวว่า จากข้อมูลที่ตนมี ตอนนี้การแบ่งกระทรวงยังไม่เรียบร้อย ยังมีเวลาเจรจา โผที่ออกมาบางส่วนไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เชื่อว่าถึงอย่างไรนายเศรษฐาจะไม่ได้เป็นนายกฯ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีกระแสสังคมเรียกร้อง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จตุพรระบุว่า หาก นพ.ชลน่านลาออก ความกดดันจะไปอยู่ที่แพทองธารและเศรษฐา รวมถึงคนอื่นๆ ในพรรคเพื่อไทยที่เคยประกาศไว้ว่า จะไม่ร่วมจับมือกับพรรค 2 ลุง ซึ่งหาก นพ.ชลน่านจะแสดงความรับผิดชอบ มาตรฐานการรับผิดชอบจะไม่น้อยกว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงความรับผิดชอบลาออกจากหัวหน้าพรรคและ สส. หลังนำพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้ง นพ.ชลน่านต้องไม่มีมาตรฐานที่ต่ำกว่าอภิสิทธิ์ นอกจากลาออกจากหัวหน้าพรรคจะต้องลาออกจาก สส. และอย่าได้คิดว่าจะลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไปเป็นรัฐมนตรี เพราะจะเป็นอย่างไม่มีความสุขมากที่สุด ซึ่งที่ตนพูดแบบนี้เพราะมีท่าทางว่าอาจมีการแสดงความรับผิดชอบ แต่หากเป็นเช่นนั้นก็จะต้องเป็นโดมิโนไปถึงแพทองธารและเศรษฐาด้วย