เมื่อวานนี้ (20 เม.ย.) กองทัพอิสราเอล (IDF) เปิดเผยผลการสอบสวนกรณีเจ้าหน้าที่แพทย์และกู้ภัย 15 คน เสียชีวิตในฉนวนกาซาเมื่อเดือนมีนาคม โดยระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจาก ‘ความล้มเหลวในระดับวิชาชีพ’ หลายประการ
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่จากสมาคมเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสไตน์ (Palestine Red Crescent Society: PRCS) ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตก่อนจะถูกฝังในหลุมศพรวม เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจและถูกประณามจากนานาชาติอย่างกว้างขวาง
IDF ยอมรับว่าเกิดความผิดพลาดหลายด้าน รวมถึงการละเมิดคำสั่งและการรายงานเหตุการณ์ไม่ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม กองทัพยังคงสนับสนุนการตัดสินใจของทหารที่ปฏิบัติภารกิจในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยโฆษก IDF พลจัตวาเอฟฟี่ เดฟริน (Brig. Gen. Effie Defrin) ระบุว่าเหตุการณ์นี้เป็นผลมาจาก “ห่วงโซ่แห่งความผิดพลาด…แต่ไม่มีช่องว่างทางจริยธรรม”
IDF ปฏิเสธว่าไม่มีการยิงโดยไม่เลือกเป้าหมาย แต่ทหารเปิดฉากยิงเนื่องจากเข้าใจว่าเผชิญ “ภัยคุกคามที่ชัดเจน” ภายใต้ “ความเข้าใจผิดในการปฏิบัติการ”
ซึ่งจากผลการสอบสวน ผู้บัญชาการกองพลที่ 14 ได้รับหนังสือตำหนิ ส่วนรองผู้บังคับกองพันลาดตระเวนโกลานี (Golani Reconnaissance Battalion) ถูกปลดจากตำแหน่ง เนื่องจากเป็นผู้สั่งให้เปิดฉากยิง และเป็นผู้ยิงใส่ขบวนรถเอง อีกทั้งยังรายงานเหตุการณ์อย่างไม่ครบถ้วนและไม่ถูกต้อง
“IDF เสียใจต่อความสูญเสียที่เกิดกับพลเรือนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” แถลงการณ์ของกองทัพระบุ พร้อมย้ำว่าขณะนี้ได้มีการชี้แจงและย้ำเตือนแนวปฏิบัติเดิมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความระมัดระวังในการปฏิบัติภารกิจใกล้หน่วยแพทย์และกู้ภัย แม้จะอยู่ในพื้นที่การสู้รบอย่างเข้มข้นก็ตาม
อย่างไรก็ตาม พลโทโยอาฟ ฮาร์-เอเวน (Maj. Gen. Yoav Har-Even) ผู้ดูแลการสอบสวนภายในของกองทัพ ระบุว่าไม่แนะนำให้เปลี่ยนนโยบายการรบหรือกฎการใช้กำลังของ IDF โดยเห็นว่าผู้บังคับบัญชาที่สั่งให้เปิดฉากยิงนั้น “ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล” และไม่พบพฤติกรรมที่ผิดจริยธรรมหรือขัดต่อหลักศีลธรรม เขาย้ำว่า “คำสั่งมีความชัดเจน เราจะไม่ยิงใส่รถพยาบาล เว้นแต่จะระบุชัดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเมื่อมีภัยคุกคามที่ชัดเจนจากบุคคลที่มาจากรถพยาบาล”
คำแถลงดังกล่าวมีขึ้นระหว่างการแถลงข่าวสื่อมวลชนต่างประเทศนาน 90 นาที โดยเขาเรียกการกระทำของผู้บังคับบัญชาหลายจุดว่า “เป็นความผิดพลาด” แต่ไม่ได้ยอมรับว่ามีความผิดใดๆ อย่างเป็นทางการ ข้อมูลจากการสอบสวนจะถูกส่งต่อให้อัยการทหารพิจารณาว่าจะตั้งข้อหาต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือไม่
ขณะเดียวกัน เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ยืนยันว่าจะเดินหน้าทำสงครามในกาซาต่อไป แม้จะเผชิญแรงกดดันและเสียงคัดค้านมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในแถลงการณ์ผ่านวิดีโอล่วงหน้าเมื่อคืนวันเสาร์ (19 เม.ย.) เนทันยาฮูกล่าวว่า อิสราเอล “ไม่มีทางเลือก” นอกจากเดินหน้าต่อ “เพื่อการอยู่รอดของชาติ จนกว่าจะได้รับชัยชนะ” โดยเรียกร้องให้ประชาชนมี “ความอดทนและความเข้มแข็ง” เพื่อทำลายกลุ่มฮามาส และนำตัวประกันอีก 59 คนกลับมา
เขาระบุว่าการที่ฮามาสปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงของอิสราเอลล่าสุด เป็นเหตุผลว่าทำไมอิสราเอลจึงต้องเดินหน้าปฏิบัติการต่อ โดยข้อเสนอของอิสราเอลเรียกร้องให้ฮามาสปลดอาวุธ และไม่รวมการยุติสงครามอย่างถาวร ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ฮามาสไม่ยอมรับ
เขายังอ้างว่าหากฮามาสยังอยู่ในกาซา “วิสัยทัศน์ที่สำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น” โดยทรัมป์เคยเสนอให้ย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซา และพัฒนาเป็น “ริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง” พร้อมทั้งเสนอให้สหรัฐฯ เข้าครอบครองพื้นที่ดังกล่าว
ด้านกลุ่มครอบครัวตัวประกัน (Hostage Families Forum Headquarters) ออกมาตำหนิถ้อยแถลงของเนทันยาฮู โดยกล่าวว่า “คำพูดและคำขวัญมากมายไม่สามารถปกปิดความจริงที่เรียบง่ายได้ เนทันยาฮูไม่มีแผนใดๆ” พร้อมตั้งคำถามว่า “รัฐอิสราเอลกำลังทำอะไรอยู่ เพื่อช่วยตัวประกันทั้ง 59 คนให้กลับมาโดยทันที?”
ภาพ: Hatem Khaled / Reuters
อ้างอิง: