×

นักลงทุนเชื่อมั่นในทองคำ คาดราคาทองคำ ‘ทำสถิติสูงสุดใหม่’ ในอีก 1 ปีข้างหน้า

06.09.2023
  • LOADING...
ลงทุน ทองคำ

ในรอบเดือนที่ผ่านมา บรรยากาศในทางเศรษฐกิจและการลงทุนนับว่าไม่เป็นใจต่อทองคำเท่าใดนัก โดยเฉพาะการแถลงล่าสุดของ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต่อที่ประชุม ณ เมืองแจ็กสันโฮล ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนถึงความเป็นไปได้ต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง และมีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง จนกว่าจะมั่นใจว่าตัวเลขเงินเฟ้อมีการปรับตัวเข้าสู่เป้าหมายของ Fed 

 

การส่งสัญญาณในครั้งนี้นับว่าเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับหลายครั้งที่ผ่านมา แต่เนื่องด้วยปัจจุบันตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น จากแนวโน้มการเติบโตที่ดีของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และภาวะตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักสู่ระดับเหนือ 50% ต่อคาดการณ์ที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% ในการประชุม Fed รอบเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่จะยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 

 

แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ดังกล่าวนับเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อการปรับตัวขึ้นของค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องด้วยทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปอัตราดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นในภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทองคำจึงมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า โดยในช่วงที่ตลาดมีมุมมองว่า Fed จะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด ทองคำจึงถูกเทขาย ราคาจึงมีแรงกดดันให้ปรับตัวลง 

 

ตลาดมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงในรูปแบบซอฟต์แลนดิ้ง Fed ตรึงอัตราดอกเบี้ยสูงยาวนาน 

 

ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่า Fed ไม่ได้เพิ่งส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง แต่ให้สัญญาณดังกล่าวมาตลอดนับตั้งแต่ช่วงการประชุมเดือนมิถุนายน ที่มีการเปิดเผยรายงานประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจอันบ่งชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยสูงสุดของ Fed จะอยู่ที่ระดับ 5.50-5.75% หรือมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 

 

หลังรายงานประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจดังกล่าวถูกเปิดเผยในช่วงเดือนมิถุนายน ประกอบกับการออกมาส่งสัญญาณของ Jerome Powell อย่างต่อเนื่องว่า ไม่ปิดโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง แต่ตลาดยังคงเมินต่อการส่งสัญญาณดังกล่าว จนกระทั่งในช่วงรอบเดือนที่ผ่านมาที่ตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มการปรับตัวลงของเงินเฟ้อ ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจที่หลายรายการที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ 

 

นอกจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแล้ว ตลาดยังถูกชี้นำจากมุมมองของสถาบันการเงินรายใหญ่หลายแห่ง เริ่มที่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม Goldman Sachs ออกมาปรับลดความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญกับภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า จาก 25% สู่ระดับ 20% ซึ่งก่อนหน้านี้เคยปรับความเป็นไปได้ขึ้นไปที่ระดับ 35% ในช่วงเดือนมีนาคม ที่เกิดการล้มลงของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ต่อมาช่วงปลายเดือนกรกฎาคม Citigroup ออกรายงานปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนี S&P 500 ในปีนี้และปีหน้า พร้อมระบุถึงคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะไม่เผชิญกับภาวะถดถอย โดยจะเป็นการชะลอตัวลงในรูปแบบซอฟต์แลนดิ้ง (Soft Landing)

 

เช่นเดียวกันกับ JPMorgan, Bank of America และ Wells Fargo ที่ออกมาคาดการณ์ว่า สหรัฐฯ จะสามารถหลีกเลี่ยงกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปีนี้ได้ สอดคล้องกับการแถลงผลการประชุมในรอบเดือนกรกฎาคมของ Jerome Powell ที่ระบุว่า Fed ประเมินว่าจะไม่เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ โดยแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ตลาดมองเห็นถึงความเป็นไปได้ที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามที่ส่งสัญญาณ 

 

นอกจากนั้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังถูกปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยทาง JPMorgan ได้ปรับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จาก 0.5% สู่ระดับ 2.5% ในปี 2023 ขณะที่แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ของ Fed สาขาแอตแลนตา บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาส 3 จะขยายตัวที่ 5.9% ซึ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตด้วยอัตราดังกล่าว จะนับว่าเป็นการเติบโตรายไตรมาสที่สูงที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส หรือนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2021 ด้วยเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มการขยายตัวเช่นนี้ ตลาดจึงประเมินว่า Fed อาจตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงยาวนานกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ หรือจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2024 

 

จากมุมมองของตลาดดังกล่าว ค่าเงินดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 12 สัปดาห์ โดยมีการแข็งค่าสุทธิในรายสัปดาห์ติดต่อกัน 6 สัปดาห์ ยาวนานที่สุดในรอบกว่า 1 ปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี มีการปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2007 สวนทางกับราคาทองคำที่มีการปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน  

 

นักลงทุนยังเชื่อมั่นต่อการถือครองทองคำตลอดช่วง 1 ปีต่อจากนี้ ประเมินราคาทองคำแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 2,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

 

แม้ Fed จะมีแนวโน้มยืดระยะการจบรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป แต่ท้ายที่สุดการยุติวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะเกิดขึ้นอย่างเป็นที่แน่ชัด โดย Darwei Kung หัวหน้าฝ่ายสินค้าโภคภัณฑ์และผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ DWS Group ให้ความเห็นว่า ทองคำมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากจากนักลงทุนที่กำลังรอคอยการยุติวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งสามารถวิเคราะห์เพิ่มเติมได้ว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวราคาทองมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสูงเป็นอย่างมาก การเข้าซื้อทองคำก่อนที่ Fed จะจบรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน อาจสามารถเข้าซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่า ทั้งนี้ Darwei Kung ประเมินว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 2,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังการยุติวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed 

 

นอกจากนั้นจากแบบสำรวจความคิดเห็นผู้จัดกองทุนของสำนักข่าว Bloomberg พบว่า ส่วนใหญ่แล้วมีแนวโน้มที่จะไม่ลดสัดส่วนการถือครองทองคำในอีก 12 เดือนข้างหน้า และมีบางส่วนให้ความเห็นว่า อาจเพิ่มสัดส่วนในการถือครองทองคำ ขณะที่มากกว่า 2 ใน 3 ของผู้จัดการกองทุนทั้งหมดที่ตอบแบบสอบถามมีการประเมินว่า ราคาทองคำจะอยู่ในทิศทางขาขึ้น และผู้จัดการกองทุน 5 รายให้ความเห็นว่า ทองคำจะทำสถิติราคาสูงสุดตลอดกาลในอีก 12 เดือนข้างหน้า 

 

อีกหนึ่งผลสำรวจของสำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า นักลงทุนในตลาดที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 602 ราย ส่วนใหญ่แล้วให้ความเห็นว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มแกว่งตัวในระดับสูง โดยคิดค่ากลาง (Median) จากความเห็นทั้งหมดจะอยู่ที่ระดับ 2,021 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในอีก 12 เดือนข้างหน้า 

 

การถือครองทองคำนับเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุน เนื่องด้วยทองคำถูกจัดให้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย สามารถรักษามูลค่าได้ และมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนได้ดีทั้งในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูงหรือในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา รวมไปถึงในช่วงที่โลกการลงทุนมีความผันผวนจากประเด็นความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ ดังนั้นการพอร์ตการลงทุนที่มีสัดส่วนการถือครองทองคำรวมอยู่ด้วยนั้น จึงมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนและความมั่งคั่งได้มากกว่าในระยะยาว ซึ่งมีผลให้ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ควรแก่การลงทุนอยู่เสมอ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising