บทสัมภาษณ์ที่ Strong! ที่สุดของลูกเกด เมทินี กิ่งโพยม
ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม คือใครคงไม่ต้องบอก เธอคือสุดยอดนางแบบ เมนเทอร์ นักแสดง นักธุรกิจ และอีกหลายบทบาท ในฐานะคนที่ติดตามพี่เกดมาตลอด ผมเชื่อว่าเธอมีบางอย่างที่อยากจะพูดแต่ไม่เคยได้พูด มีด้านอื่นๆ ที่น่าค้นหามากไปกว่าด้านข่าวดราม่าที่คนได้รับจากสื่อ และนั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากฟัง
ผมเขียนบทความ ‘ถอดบทเรียนโลกการทำงานจาก The Face Thailand’ มาตั้งแต่ซีซันแรก จนมาถึง The Face Men Thailand ในเว็บไซต์ THE STANDARD สำหรับผมนี่มันไม่ใช่แค่เกมสนุกๆ ที่ฟาดฟันกันด้วยดราม่า แต่ผมมองเห็นบทเรียนจากการทำงานที่เราเอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ซ่อนอยู่ในเกมดราม่า โดยเฉพาะการทำงานของลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม ในฐานะเมนเทอร์นั้นให้บทเรียนหลายอย่างในการทำงานได้ดีจริงๆ
ตอนที่เราได้เจอกัน พี่ลูกเกดบอกว่าดีใจมากที่ได้เจอคนเขียนเสียที เพราะติดตามอ่านมาโดยตลอด ผมบอกพี่เกดว่าคำถามในวันนี้ที่จะสัมภาษณ์ค่อนข้างซีเรียสสักหน่อย เพราะอยากสะท้อนการมองโลกของผู้หญิงที่ผ่านชีวิตมาอย่างเข้มข้น และมีบทเรียนในชีวิตมากมาย ไปจนถึงชวนพี่เกดวิพากษ์สังคมมันเสียเลย
สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือ พี่เกดดูสนุกกับการได้ปลดปล่อยความคิดอย่างอิสระเสรี และหลายครั้งผมสัมผัสได้ถึงความอัดอั้น เหมือนเธออยากพูดสิ่งนี้มานาน แต่ไม่มีใครถามเธอ และนั่นทำให้บทสนทนาครั้งนี้ พี่เกดพูดจนหมดเปลือก
“พี่ดีใจมากที่พี่ได้มีโอกาสพูดสิ่งเหล่านี้เสียที พี่ไม่เคยได้พูดเรื่องแบบนี้มาก่อน ในที่สุดก็มีคนเข้าใจพี่ พี่มีความสุขกับการสัมภาษณ์นี้มากๆ พี่ได้พูดในสิ่งที่พี่คิดมานาน แต่ไม่มีคนมาถามคำถามฉลาดๆ แบบนี้ You know? It’s all about bullshit drama and who’s fucking who all the time.” พี่เกดบอก
ปิดท้ายว่า “ที่พี่พูดไปน่ะ I mean it”
ผมเชื่อว่าทุกคำจากนี้ที่คุณกำลังจะได้อ่านเป็นทุกคำที่ผู้หญิงคนนี้หมายความตามนั้นจริงๆ
และนี่คือสิ่งที่ลูกเกด เมทินี ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน
“การมาทำรายการนี้มันไม่ได้ชนะทุกครั้ง แล้วก็ไม่ได้แฟร์ทุกครั้ง ไม่ว่าเราจะชนะหรือแพ้ก็ตาม เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ที่จะจัดการกับความผิดหวังและเดินต่อไปจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก”
ย้อนกลับไปปี 2000 ที่คุณขึ้นปกนิตยสาร IMAGE ในคอนเซปต์ ‘ผู้หญิง 2000’ นั่นเป็นหนึ่งในงานที่ผมรู้สึกว่าเป็นมาสเตอร์พีซของวงการแฟชั่นไทยเลย วันนี้คุณมองกลับไปรู้สึกอย่างไรกับแฟชั่นเซตนั้นครับ
Oh my gosh! เดี๋ยวนี้ก็เขินนิดๆ นะ เพราะตอนนั้นรู้สึกเลยว่าตัวเอง untouchable เราอยู่ในจุดสูงสุดจริงๆ รูปร่างเซียะมาก เป็นซูเปอร์โมเดล ขึ้นปกทุกนิตยสาร เป็นนางแบบที่ทุกแฟชั่นโชว์ต้องเดินฟินาเล่ เป็นช่วงหนึ่งในชีวิตที่ภูมิใจแต่ช่วงนั้นก็มีเหลิงบ้างนะ ตอนนั้น Work hard but party harder มันเป็นช่วงเวลาที่ I live my life to the fullest. จริงๆ
จุดเปลี่ยนตอนนั้นที่ทำให้หายเหลิงคืออะไรครับ
จุดเปลี่ยนคือมันเริ่มรู้สึกว่านี่มันมากเกินไปแล้ว เหนื่อย อยากจะช้าลง ก็เลยเริ่มออกมาจากกลุ่มเพื่อนบ้าง หันมาออกกำลังกาย และก็มีเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มเฮลตี้ ทำให้เรารู้สึกว่า อ๋อ! ชีวิตคนปกติมันเป็นแบบนี้นี่เอง(หัวเราะ) มันเป็นการเกิดใหม่อีกแบบหนึ่งของลูกเกด เมทินี เพราะได้เรียนรู้การดูแลสุขภาพอย่างแท้จริง ได้มาเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก และมีธุรกิจสุขภาพ เกดเป็นคนแรกๆ ที่ทำ Juice Bar ข้างนอกโรงแรมเลยนะคะ
คุณทำงานศิลปะที่ต้องอาศัยเรือนร่าง แต่ทุกวันนี้แค่เข้าไปในโซเชียลมีเดีย เราก็จะเห็นคนเปิดเผยเรือนร่าง กันมากมาย คุณมองการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร
ตอนนั้นมันเป็นเส้นบางๆ ระหว่างศิลปะกับอนาจาร ซึ่งเกด อยู่ในเส้นบางๆ นั้นแหละ แต่มันอยู่ที่การเลือกทีมงาน พออยู่ในนิตยสารแฟชั่นเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย มันเลยดูเป็นศิลปะ ตอนนั้นเป็นยุคก่อนโซเชียลมีเดีย การถ่ายแบบชุดว่ายน้ำ ดาราจะได้เงินเยอะมาก เพราะนานๆ ทีจะได้เห็น แต่พอมีโซเชียลมีเดียเข้ามา ทุกคนถ่ายรูปโชว์รูปร่างตัวเองกันได้หมด มันกลายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นทุกวันนี้การจะมาถ่ายรูปเซ็กซี่แบบเดิมมันไม่มีความจำเป็นแล้ว
ผ่านมา 17 ปี จากที่เกดเคยขึ้นปก IMAGE ฉบับนั้น ลองไปดูในโซเชียลมีเดียตอนนี้สิคะ Oh my gosh! So you know… I did it for fashion but they do it for what? For free!
คุณเห็นอะไรในโซเชียลมีเดียตอนนี้ ไม่ว่าจะในฐานะคนที่ใช้เอง และในฐานะคนที่เป็น ‘เป้า’ ของมัน
โซเชียลมีเดียทำให้คุณบ้าได้ ตอนนี้คนมีความภูมิใจในตัวเองต่ำมาก เพราะทุกคนเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในโซเชียลมีเดียหมด เห็นคนนั้นมีอย่างนี้ก็อยากมีบ้าง เห็นผู้ชายคนนั้นน่ารักจัง แค่ส่งข้อความเข้าไปทัก อุ๊ย! คุยถูกคอก็เลิกกับแฟนตอนนั้น Why?! สมัยนี้วัยรุ่นไม่มีความอดทน อะไรๆ ก็ “ไม่! ฉันจะไม่ทน” สังคมเปลี่ยนไปมาก มันเป็นดาบสองคมนะ เวลาคนเสพโซเชียลมีเดียเยอะไปก็ทำให้เป็นบ้าได้ ไม่เล่นเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าเราอยู่ในยุคโซเชียลมีเดียแล้ว สำหรับเกดมันคือการเรียนรู้ เกดขำมากเลย ไอ้ฟีเจอร์ที่ใส่เอฟเฟกต์ฟรุ้งฟริ้งใน Your Story แล้วคนก็มาทำหน้าทำตามองตัวเองอยู่หน้าจอตลอดเวลา มันคืออะไร?! (หัวเราะ) นี่มันบ้าตัวเองแล้วนะ
คุณเองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของ Social Bullying เหมือนกัน
And I love it! เพราะฉะนั้นคุณจะด่าอะไรก็เชิญเลย เพราะ…You can’t touch me! คุณจะด่า จะอะไร เกดอ่านแล้วหัวเราะด้วยซ้ำ เพราะเกดแยกแยะออก
เวลาที่คนมาด่าเกด มันจะเป็นแค่ช่วง The Face อาจจะเป็นเพราะเกดไปตีกับเมนเทอร์คนนั้นคนนี้ แล้วแฟนคลับมาด่า OK! It comes to the job. เราต้องแยกแยะ ถ้าคุณไม่ strong แล้วไปนั่งอ่านหมด นั่นน่ะคุณก็เป็นบ้า คนเป็นหมื่นเป็นพันมาด่า อีลูกเกด อีอย่างนู้นอย่างนี้ I hate you! You’re fucking bitch! Fuck you! ก็ต้องเป็นบ้าสิ
เกดรู้สึกว่า We’re not here to judge but we always judge people. (เราไม่ได้มีหน้าที่ที่จะตัดสินคนอื่น แต่เราก็ตัดสินคนอื่นตลอดเวลา) และการถูกคนอื่นตัดสินมันเป็นเรื่องน่าเจ็บปวด เพราะฉะนั้นเกดจึงพยายามบล็อกตัวเองจากการถูกคนอื่นตัดสิน
คุณไปเอาความ strong แบบนี้มาจากไหนครับ
เกดคิดว่าเพราะเกดโตที่อเมริกา และเกดถูกสอนและเติบโตมาอย่างมี freedom of speech ตลอด 20 ปีที่อยู่ที่นั่น และพอเกดมาอยู่เมืองไทย 5 ปีแรก เกดร้องไห้ทุกวัน เพราะตอนนั้นกุลสตรีไทยจะต้องเรียบร้อย จะไม่พูดสิ่งที่ตัวเองรู้สึกจะยิ้ม ค่ะ… สวัสดีค่ะ เกดโหยหาที่จะได้เป็นตัวเองเสียที
แต่พอเกดก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่น ได้เจอเพื่อนทั้งพี่อุ๋ม เยลหลี พี่จอย ฯลฯ นั่นทำให้เกดมีความมั่นใจมากขึ้น ได้เป็นตัวเอง และมีทัศนคติว่า I don’t give a shit! พอมาเป็นนางแบบ ได้เป็นหนึ่งในซูเปอร์โมเดลของไทย มันเหมือน… Fuck you! I’m gonna be me! เพราะฉะนั้นคุณระเบียบรัตน์ หรือใครจะด่าเกด I don’t care! You’re not putting money to my pocket. และคนก็รักที่เกดมีความมั่นใจ ทำให้เกดมีความมั่นใจมากกว่าเดิมที่จะเป็นตัวเองแบบนี้ เกดมีความภูมิใจในงาน เกดทำงานทุกชิ้นเกินร้อยเสมอ เกดจึงคิดว่ามันน่าจะอยู่ในสายเลือดไปแล้ว
ผมสังเกตว่า ต่อให้ดารานักแสดงจะมีผลงานหรือหน้าที่การงานที่ดีแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายเมื่อไมค์จ่อปาก เขาก็จะถูกถามแต่เรื่องผู้ชายหรือข่าวฉาว คุณเองมีผลงานมากมาย เป็นคนเก่งมาก แม้กระทั่งวันก่อนที่มีงานแถลงข่าวเรื่องการเดินเพื่อช่วยสังคมของคุณ แต่สุดท้ายนักข่าวบันเทิงถามคุณแต่เรื่องดราม่า และข่าวที่ออกไปก็มีแต่เรื่องนั้น ไม่ได้มีผลงานของคุณเลย ถามจริงๆ ว่า คุณรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
สำหรับเกดมันเป็นเรื่องไร้สาระมาก รู้เลยว่ามันคือการหาประเด็น เวลาก่อนงานแถลงข่าว นักข่าวจะมาจับกลุ่มกันแล้วมาดูว่าตอนนี้มีประเด็นอะไร เฮ้ย! เมนเทอร์พีชลงโซเชียลแบบนี้ พีชด่าพี่เกดหรือเปล่า ลองถามไหมว่าพี่เกดจะรู้สึกอย่างไร แต่เกดไม่รู้เลยนะว่าพีชโพสต์อะไรแบบนั้น อ่านดูมันพูดถึงเมนเทอร์เกดตรงไหนวะ!เกดรู้สึกว่า…Really? Are you fucking stupid? เกดอยากจะถามแบบนั้น คิดได้แค่นี้เหรอ แต่เกดก็ต้องยิ้ม
อย่างเรื่องที่เกดไปผ่ามดลูกมา 3-4 เดือนแล้ว ยังเอามาเป็นประเด็น Hello?! It’s just taking out my มดลูก! กูไม่ได้ตาย! ถามกันอยู่นั่น และมันเป็นเรื่องส่วนตัว เกดก็พยายามเลี่ยงที่จะตอบ แต่สุดท้ายก็ต้องพูด เพราะเขาพยายามเจาะกันอยู่นั่นแหละ
เมื่อประมาณปี 1990 เกดเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของมาดอนน่าว่า “All press is good press. Bad press is even better.” เกดก็เลยเข้าใจมากๆ ว่า ข่าวคาวมันขายได้มากกว่าข่าวดี Who’s fucking who ใครทะเลาะกับใครอยู่ ใครนอกใจใคร นี่คือข่าวที่ขายได้ ข่าวดีๆ มันไม่ขาย มันทำให้เราน่าที่จะตั้งคำถามนะคะว่าสังคมเราจะเป็นแบบนี้จริงๆ หรือ
“เวลาที่เราผิดหวัง มันไม่ใช่จุดจบของชีวิต ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป การชนะไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต Just work harder! Train harder! อย่ายอมแพ้”
คุณ Survive ได้อย่างไรในงานที่คุณเองก็ต้องเจอกับ Bad Press ตลอดเวลา
ไม่รู้ว่าเกดอยู่ได้ไงว่ะ (หัวเราะ) มันเหมือนกับ I hate it but I have to live with it so I put up with it ’cause I still work. เกดมองว่ามันเป็นเรื่อง bullshit มากเลย แต่เกดต้องทำมาหากินในวงการนี้ก็เลยต้องยอม มันมาพร้อมกับงานของเกด เพราะฉะนั้นเกดก็ต้องพยายามเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกดอยากทำงานให้ดีน้อยลง เกดยังคงทำงานเกินร้อยเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเกดจะไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เลย
คนหลายคนโหยหาที่จะมีชื่อเสียงมาก ในฐานะที่คุณมีชื่อเสียงมากอยู่แล้ว ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับว่าการมีชื่อเสียงจริงๆ มันเป็นอย่างไร
เกดจะเล่าจากมุมนี้ก่อนนะคะว่า ความดังจริงๆ มันเป็นอย่างไร เกดโชคดีที่ดังในยุคที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย สมัยนั้นการที่คุณจะดังจริงๆ มาจากผลงาน สมัยนี้ดังจากโซเชียลมีเดีย ทำให้ยุคนี้มีเน็ตไอดอล ดังจากคนมากดไลก์หรือฟอลโลว์ หรือซื้อไลก์ ซื้อฟอลโลเวอร์ แต่มีผลงานอะไร What?!
แล้วก็มาบอกว่า ฉันเป็นไอดอล ดูฟอลโลเวอร์ของฉันสิ (มองบน) แต่สมัยเกด เกดดังจากผลงาน จะมาโชว์ความเหนือ อันไหนเจ๋งกว่ากันล่ะ
เฮ้ย! เด็กรุ่นใหม่ ยูต้องปรับความคิดหน่อยเถอะ การที่ยูจะดัง มันควรมาจากผลงาน ไม่ใช่ว่ามีคนฟอลโลว์ยูกี่คน เดี๋ยวนี้เน็ตไอดอลคืออะไร เกดยังไม่เข้าใจคอนเซปต์เลย What are you! What is it!
เกดดังได้จากยุคนั้นมัน… It’s all from me. It’s all from my sweat! Not just taking a good picture and posting it.
ในฮอลลีวูดมีประเด็นเรื่องความไม่เสมอภาคทางเพศของนักแสดงชายและหญิงอยู่ ในวงการบันเทิงไทยล่ะครับ มีความไม่เสมอภาคทางเพศอยู่ไหม การเป็นผู้หญิงอยู่ยากกว่าผู้ชายหรือเปล่า
โลกนี้ผู้หญิงกับเกย์มีเยอะมาก เพราะฉะนั้นยังไงผู้ชายขายได้ดีกว่าอยู่แล้ว เกดก็ไม่แปลกใจที่ดาราชายอาจจะมีแฟนคลับมากกว่า เกดเห็นชัดเลย ทำ The Face มา3 ซีซัน ไม่มีแฟนคลับมารอลูกทีมสาวๆ ของเกดเลยแต่พอมาทำ The Face Men โอ้แม่เจ้า! ทำ Meet & Greet ที ห้างแทบแตก! (หัวเราะ) เกดเลยไม่แปลกใจที่ดาราชายขายได้ดีกว่าดาราหญิง เป็นผู้หญิงมันเหนื่อย แต่ถ้าเป็นผู้ชาย มันจะเหนื่อยน้อยกว่า มันน่าเสียดายมาก มันน่าจะวัดกันที่ผลงาน
เกดพูดแบบนี้ได้ เพราะตอนนี้เกดอายุ 45 แล้ว และเกดไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องพึ่งพามันมากขนาดนั้น ทุกวันนี้ที่เกดมาทำงานในวงการเพราะยังสนุกอยู่ ยังรักที่จะทำอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าเกด ‘ต้อง’ ทำ ฉะนั้นคนจะจ้างเกด ก็เพราะเขาอยากให้ ‘คุณแม่’ มา
คุณอยู่ในวงการที่เป็นผู้หญิงก็อยู่ยากกว่าผู้ชาย และเป็นวงการที่เชื่อว่า ‘เด็กกว่าคือดีกว่า’ แต่ถึงคุณจะอายุมากขึ้น แต่แฟชั่นโชว์ไหนๆ ก็ยังขาดคุณไม่ได้ คุณมีรายการที่ดังมาก และยังเป็นไอคอนอยู่ คุณทำลายกำแพงเหล่านั้นได้อย่างไร
ยุคของเกด นางแบบผู้หญิงมีงานมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันเป็นจังหวะที่ดี อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเกดเป็นตัวของตัวเอง มาตรงเวลา ทำงานก็ให้เกินร้อย และเกดถือว่าเป็นนักแสดงที่ดีต้องไฟต์และอดทนมาก
เกดคิดว่าความอดทนเป็นเรื่องสำคัญมาก เกดว่าสมัยนี้ทำงานสบายกว่าสมัยก่อน เพราะสมัยนั้นถ่ายละครกันที บางวันถ่ายตั้งแต่หกโมงเช้าถึงตีสามของอีกวัน และต้องกลับมาที่กองถ่ายอีกทีเจ็ดโมงเช้า โหดมาก แต่สมัยนี้มันสบายกว่า มีแบบ…อ๋อ ดาราไม่ไหวแล้วเหรอ งั้นไม่เป็นไร ก็ยกกองไปก่อน ดาราสมัยนี้เขาบังคับได้เลยว่าวันนี้อยากถ่ายกี่ฉาก มีหลายคนที่เป็นแบบนั้น เกดก็อึ้ง หรือมีคนจ้างดาราไปเป็นพรีเซนเตอร์ แต่ยูบอกว่าไอจะมาถ่ายโฆษณา แต่สี่โมงเย็นต้องเลิกนะ มีเวลาให้แค่นั้น มันคืออะไร แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอวะ เกดไม่ชอบแบบนี้เลย หรืออาจจะเป็นที่ตัวเกดเองมั้ง เกดรักและภูมิใจในงานที่ทำมาก เพราะฉะนั้นเราจะเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ
บทเรียนที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน จนกระทั่งได้มาเป็นเมนเทอร์ใน The Face คืออะไรครับ
การเป็นเมนเทอร์สอนให้เกดเป็นผู้แพ้ที่ดี เกดเป็นคนที่ชอบการแข่งขันมาก และเป็นคนชอบชนะ ซึ่งทุกคนก็อยากจะเป็นผู้ชนะ แต่การมาทำรายการนี้มันไม่ได้ชนะทุกครั้ง แล้วก็ไม่ได้แฟร์ทุกครั้ง ไม่ว่าเราจะชนะหรือแพ้ก็ตาม ฉะนั้นการเรียนรู้ที่จะจัดการกับความผิดหวังและเดินต่อไปจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และสิ่งนี้เกดก็พยายามจะสอนลูกๆ ทุกคนในทีม เพราะในชีวิตจริงความผิดหวังมันเกิดขึ้นตลอดเวลา
ถ้าจะถอดบทเรียนชีวิตของลูกเกด เมทินี สัก 3 บทเรียนที่จะเป็นประโยชน์กับคนทำงานจะมีเรื่องอะไรบ้างครับ
ที่อยากจะสอนทุกคนคือ เรื่องความอดทน เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เกดไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราต้องสู้เพื่อให้ได้ทุกอย่างมาด้วยตัวเอง
เกดเติบโตมาในนิวยอร์กย่าน Black & Spanish Ghetto เวลาจะเดินไปซับเวย์ ถนนฝั่งหนึ่งมีแก๊งหนึ่งคุมอยู่ เกดต้องเดินอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่ของอีกกลุ่มหนึ่งที่สนิทกว่า ถ้าเดินผิดฝั่ง เกดมีสิทธิ์โดนกระทืบได้ มันสอนให้เกดต้องระวังตัว ต้องเข้มแข็ง และต้องอดทนตลอดเวลา มันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ พอเกดมาทำงานที่เมืองไทย ทั้งการเดินแบบ ถ่ายแบบ งานแสดง มันไม่ได้สบายเลยอย่างที่คนคิด
การเป็นคนที่เข้มแข็ง หรือ strong ก็เป็นอีกคุณค่าหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะเมื่อเราต้องต่อสู้และรู้วิธีการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ You’re not a loser but you’re a fighter. ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรก็ตาม คุณก็ต้องต่อสู้กับตัวเอง ต่อสู้กับสิ่งรอบตัว ต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย
และแน่นอน บางครั้งเราก็ชนะ บางครั้งเราก็แพ้ เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้แพ้ที่ดีให้เป็น You have to be a good loser. เวลาที่เราผิดหวัง มันไม่ใช่จุดจบของชีวิต ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป การชนะไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต Just work harder! Train harder! อย่ายอมแพ้
เกดคิดว่าถ้ามี 3 เรื่องนี้แล้ว มุมมองต่อชีวิตของคุณจะเป็นบวก แต่ก่อนเกดเป็นคนที่คิดในแง่ลบตลอด เพราะเกดเกิดในครอบครัวที่แตกแยก เกิดมาในฐานะ
ที่ไม่ได้ดีมาก และต้องทำงานหนักมากเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ เกดเลยมองโลกในแง่ลบ ซึ่งมันค่อนข้างขมขื่นนะคะ แต่พอเกดเริ่มทำงาน เกดถึงได้เรียนรู้ว่าเราต้องรู้จักปล่อยวาง ชีวิตเราจะดีขึ้น เราจะไม่โกรธหรือไม่โทษทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา ถ้าเรารู้จักมองโลกให้เป็นบวก เรื่องอื่นๆ ก็จะตามมา
ถ้าเป็นไปได้ คุณอยากนั่งคุยกับลูกเกด เมทินี เวอร์ชันไหนครับ
(นิ่งคิด) เป็นคำถามที่ยากมาก เพราะว่าเวอร์ชันที่อยู่เมืองนอกเป็นผู้หญิงซ่ามาก เป็นเด็กเกเร ทะเลาะกับพ่อแม่ โดดเรียน แต่ถ้าไม่ผ่านชีวิตช่วงนั้น ก็จะไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ strong อย่างทุกวันนี้ ถ้าไม่มีลูกเกดเวอร์ชันมาเมืองไทยใหม่ๆ ที่ Work hard but play harder ก็จะไม่รู้ว่าชีวิตที่มันสุดๆ เป็นอย่างไร และก็จะไม่ได้ enjoy life เพราะเราทำงานหนักมาตลอด จนเข้าใจว่าชีวิตมันเป็นแบบนี้นี่เอง นี่คือความสุขของชีวิต เกดเลยไม่รู้จะคุยกับลูกเกดเวอร์ชันไหนดี มันยากมาก เพราะ I don’t regret anything in life. เกดไม่รู้สึกผิดหวัง หรือรู้สึกว่าผิดพลาดในชีวิต แต่ละช่วงในชีวิตของเกด เกดถือว่าเป็นมาสเตอร์พีซจริงๆ”
- ‘ก้าวเพื่อชีวิต’ ระหว่างวันที่ 1-7 ตุลาคมนี้ ลูกเกด เมทินี ก้อง ปิยะ ร่วมด้วยเหล่าศิลปิน และนักแสดง จะร่วมเดินการกุศลจากพระราชวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มายังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อหารายได้สมทบทุนก่อสร้าง จัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ อาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา
- เธอคือไอคอนของ LGBT
“เกดเกิดมาในยุค LGBT ได้เรียนรู้ว่ากว่า LGBT จะเป็นที่ยอมรับ เขาต้องใช้ความอดทนและต่อสู้อย่างใหญ่หลวง เกดได้เห็นความ strong ของเขาจึงทำให้เกดเป็นตัวของตัวเอง และมีที่ยืนจนถึงทุกวันนี้
“บอกได้เลยว่าการที่เกดเป็นไอคอนของกลุ่ม LGBT มันทำให้เกดรู้สึกมาตลอดว่าเกิดมาเป็นเกย์ในร่างผู้หญิง I’d like to say that I was born with a dick. (หัวเราะ)”