×

อ่านมนุษย์: เด็กสถานพินิจฯ คนไร้บ้าน ชาวสลัมคลองเตย ที่มักถูกตีตราจากภาพลักษณ์ก่อนรู้จักเสมอ

24.10.2022
  • LOADING...
เด็กสถานพินิจฯ คนไร้บ้าน ชาวสลัมคลองเตย

ปัจจุบันสังคมมีความหลากหลายมากขึ้น ความหลากหลายซึ่งนำมาสู่ความแตกแยก ผู้คนเริ่มแบกฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน และเริ่มมีการตีตรากันโดยไม่รู้ตัว ใครที่มีความเห็นอื่น ต้องเป็นฝ่ายตรงข้าม คิดต่าง คือผิด จนทำให้ผู้คนเริ่มไม่มีพื้นที่จะพูดคุยกันมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เรารู้เป็นความจริงหรือไม่ ลองให้โอกาสตัวเองที่อยู่ใน ‘พื้นที่ปลอดภัย’ หรือ Comfort Zone ออกมาสัมผัสความต่างของผู้คนที่ไม่เหมือนกัน เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกับความต่างได้อย่างงดงามยิ่งขึ้น

 

THE STANDARD ชวนพูดคุยกับ 3 หนังสือ 3 ประเภทบุคคล คือคนสลัมคลองเตย คนไร้บ้าน และเด็กสถานพินิจฯ ที่อยู่ในกลุ่มบุคคลที่คนมักตีตราจากอคติภายในใจ และตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกก่อนที่จะได้รู้จักกัน จากกิจกรรมของอ่านมนุษย์ ที่ก่อตั้งโดยธนาคารจิตอาสา และความสุขประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 

 

หมายเหตุ: ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยใบหน้าและเรื่องราว

เด็กสถานพินิจฯ คนไร้บ้าน ชาวสลัมคลองเตย

 

‘ลุงไฝ’ คนสลัมคลองเตย 

“คนสลัมคลองเตย ขี้เกียจ, เห็นแก่ได้, โง่, ชอบใช้ความรุนแรง และติดเหล้าติดยา” ลุงไฝ หนึ่งในหนังสือคนสลัมคลองเตย ปัจจุบันทำงานอยู่ที่มูลนิธิดวงประทีป ที่เกิดเติบโตมาจากสลัมคลองเตย เล่าว่า เกิดมาก็ถูกคนส่วนใหญ่ตีตรามาเช่นนั้น แต่คนสลัมคลองเคยไม่ได้มีลักษณะเช่นนั้นทั้งหมด 

 

“อยากให้ดูที่มาว่า ทำไมคนสลัมคลองเตยที่หลายคนมองว่าโง่ ขี้เหล้า ติดยา มีสาเหตุจากอะไร พฤติกรรมทุกอย่างมีที่มาที่ไป ยกตัวอย่างเช่น ทำไมคนสลัมคลองเตยจึงเห็นแก่ได้ เพราะชีวิตของเราต้องมีกิน ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกให้ตัวเองมีกิน พวกเราทำงานบริการ ทำงานทำจ้าง เป็นคนกวาดขยะ คนล้างจาน มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เราก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นฟันเฟืองหนึ่งของสังคม แต่ทำไมต้องถูกตีตรา หรือบอกว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เราเองก็มีคุณประโยชน์ต่อสังคมเช่นเดียวกัน เราก็จ่ายภาษีเหมือนกัน ซื้อของหนึ่งชิ้นเราก็จ่ายภาษีเท่ากัน

 

“อยากขอให้เข้าใจเรา แต่ไม่ต้องมาสงสารเรา คนสลัมมันน่าสงสาร ไม่ต้องสงสารเรา ขอให้เข้าใจก็พอว่าชีวิตของเราเป็นอย่างไร ที่คนในสลัมคลองเตยแบบนี้มีสาเหตุจากอะไร”

 

ในสลัมต้องปากกัดตีนถีบ ต้องสู้ชีวิตวันต่อวัน การใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางครอบครัวตื่นแต่เช้า ตี 4 เพื่อออกไปทำงาน กลับมา 2 ทุ่ม ลูกนอนแล้ว ไม่มีเวลาเห็นหน้าลูก ไม่ได้อบรมสั่งสอน เป็นอีกส่วนหนึ่งทีทำให้คุณภาพชีวิตของเด็กๆ ซึ่งเป็นวัฏจักรครอบครัวร้าวฉาน ขาดความอบอุ่น เด็กติดยา 

 

“ถ้าบอกว่าพวกเราขี้เกียจผมเถียงขาดใจ แต่ด้วยสังคมที่เหลือมล้ำ ค่าแรงไม่เป็นธรรม มันกดทับเราอยู่ สิ่งอยากจะบอกต่อคือ การทำงานแต่เช้ากลับดึกไม่ได้เห็นหน้าลูก ไม่ได้อบรมสั่งสอน เป็นอีกส่วนหนึ่งทีทำให้คุณภาพชีวิตของเด็กๆ ซึ่งเป็นวัฏจักรครอบครัวร้าวฉาน ดังนั้นเมื่อเราสื่อสารออกไป และเข้าใจในโครงสร้างวิธีการแก้ปัญหา การยกระดับของคนในชุมชน” 

 

พร้อมมองว่าการจะยกระดับคนทุกคนได้ คือการศึกษา การศึกษาพิสูจน์ได้ว่าการให้เรียนฟรีมันฟรีจริงไหม ระดับทางการศึกษาเท่าเทียมกันหรือไม่ หากเด็กทุกคนได้รับการศึกษาจะทำอนาคตของเขาจะมีโอกาสมากขึ้น 

 

“อยากสื่อสารให้คนข้างนอกได้รับรู้เรื่องราวในชุมชนของพวกเรา อีกสิ่งคือ อย่างน้อยเราอาจะมีการบอกต่อเรื่องราวของเราไปสื่อสารกับคนข้างนอก เวลาที่เราพูดเองเสียงมันไม่ดังเท่า” ลุงไฝกล่าว 

 

เด็กสถานพินิจฯ คนไร้บ้าน ชาวสลัมคลองเตย

 

ลุงติ๊ก คนไร้บ้าน

ลุงติ๊ก อดีตคนไร้บ้าน ปัจจุบันทำงานอยู่ที่โครงการจ้างวานข้า ภายใต้มูลนิธิกระจกเงา เป็นโครงการที่เปิดการจ้างงานให้กับบุคคลไร้บ้าน เล่าชีวิตจากคนที่มีบ้านอยู่ต้องมาใช้ชีวิตแบบคนไร้บ้าน พบความลำบาก ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย โดยเฉพาะฤดูฝน เป็นฤดูกาลที่สร้างความยากลำบากให้แก่คนไร้บ้านอย่างมากที่สุด เราต้องหาที่หลบฝน ต้องนั่งหลับ 

 

เมื่อหลุดพ้นจากคนไร้บ้านแล้ว ได้เข้าร่วมกับองค์กรมูลนิธิกระจกเงา จากชีวิตคนไร้บ้านที่ยากลำบาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยที่กิจกรรมครั้งนี้ทำให้เราได้ระบายความในใจที่ไม่เคยมีใครมาถามเราในชีวิตจริง และเรากล้าบอกเขา มันมีความยากลำบากกับคนทั่วไปว่าเราเคยเป็นคนไร้บ้านมาก่อน แต่เราก็มีความจริงใจที่เรากล้าบอกเขา (คนอ่าน) 

 

ที่ผ่านมาไม่เคยบอกคนภายนอกว่าเคยเป็นคนไร้บ้านมาก่อน เพราะกังวลถึงการถูกตีตรา ลุงติ๊กกล่าวจากชีวิตคนไร้บ้าน ผมจะบอกคนทุกคนที่ควรบอก บอกญาติพี่น้องว่า “ผมเป็นคนไร้บ้าน” 

 

แต่ก็ยินดีที่จะบอกกล่าวกับทุกคนว่าตนเองเคยเป็นบุคคลไร้บ้านมาก่อน ปัจจุบันมีห้องเช่าพักอาศัย ไม่ได้เป็นคนไร้บ้านแล้ว กล้าออกสื่อมากขึ้น และบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเองด้วยความเต็มใจ

 

เด็กสถานพินิจฯ คนไร้บ้าน ชาวสลัมคลองเตย

ดีน อดีตเด็กสถานพินิจฯ

ดีน อดีตเด็กสถานพินิจวัย 26 ปี เล่าชีวิตผ่านสถานพินิจฯ 6 ที่ ทั้งบ้านเมตตา บ้านฟ้าใส บ้านมุทิตา บ้านกรุณา บ้านอุเบกขา และบ้านกาญจนา ย้ายเข้า-ออก 16 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 8 ปี 

 

ดีนเล่าอีกว่า เส้นทางเกเรของเขาเริ่มขึ้นตอนสมัยเรียนชั้นมัธยม ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการเลือกเดินเส้นทาง ภาพในหัวตอนนั้น พ่อและแม่ไม่มีเวลาให้ ทำแต่งาน มีความรู้สึกเหมือนเป็นคนในครอบครัวที่ไม่ใช่คนในครอบครัว รู้สึกขาดความเอาใจใส่จากพ่อแม่ จึงหันไปหาสิ่งอื่น เช่น เพื่อน ที่มาพร้อมกับสิ่งเร้าและสิ่งยั่วยุต่างๆ 

 

เข้าสู่สถานพินิจฯ ครั้งแรกในปี 2554 จากการโดนรุมทำร้ายที่บริเวณหน้าห้างแห่งหนึ่ง โดยก่อความรุนแรงจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย และถูกตัดสินให้เข้าสถานพินิจฯ ที่บ้านเมตตาครั้งแรก จากนั้นได้ใช้ความรุนแรงจนต้องเข้า-ออกสถานพิจนิจฯ​ อีกหลายครั้ง 

 

ในช่วงแรกครอบครัวก็ช่วยคดี มีการประกันตัวออกมา แต่เราเองก็ยังดื้อ ยังเกเรอยู่ ก็โดนจับอีก จนส่งตัวเข้าบ้านฟ้าใส บ้านอุเบกขา ซึ่งบ้านอุเบกขาเป็นศูนย์ฝึกที่เป็นศูนย์รวมเด็กที่เกเรที่สุดมารวมอยู่ที่เดียวกันเพื่อรอส่งเข้าเรือนจำ มีการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบในทุกวัน

 

“ตอนที่อยู่ข้างใน เราไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเอง เก็บเกี่ยวแต่เรื่องไม่ดี ในช่วงเวลานั้นพยายามทำตัวเองให้มีอิทธิพล ให้ผู้คนจำชื่อเราได้” 

 

เมื่อออกมาใช้ชีวิตภายนอกแล้ว ผ่านมากว่า 5 ปี ปัจจุบันทำงาน และมีครอบครัว เป็นพี่ที่คุยกับน้องในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพื่อป้องกันความผิดพลาดเหมือนเช่นในอดีต และนำความผิดพลาดในอดีตของตัวเองมาเป็นบทเรียน และเป็นแรงขับเคลื่อนเรื่องราวเหล่านั้นมาเผยแพร่ต่อให้ผู้คนต่อ 

 

ดีนยอมรับว่าเรื่องราวที่ผ่านมายังมีแผลที่ติดอยู่ในใจ แต่ทุกครั้งที่ได้พูด ได้บอกเล่าเรื่องราว ก็ทำเหมือนเป็นการรักษาตัวเองทุกครั้ง ที่เป็นเครื่องเตือนใจเราไม่ให้เราไม่กลับไปแหวกแผลเดิมอีกครั้ง

 

ถูกตีตราจากโดยจากคนรอบตัวจากญาติๆ มองว่าเราเกเร เป็นคนไม่ดี เรียนไม่จบ มีลูก โดนสบประมาทต่างๆ นานา ส่วนการตีตราจากคนภายนอกเป็นส่วนน้อย เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตด้วย แต่ด้วยบุคลิกของเราที่มีลายสักและท่าทีของเรา ก็โดนมองด้วยสายตาที่กล้าๆ กลัวๆ แต่ก็พยายามทำตัวให้ให้ดีขึ้น 

 

“กิจกรรมครั้งนี้เป็นคุณค่าเล็กๆ ที่มีความสุข และเป็นแรงขับเคลื่อนให้เรา และพร้อมที่สละเวลาเพื่อนำเรื่องราวของตัวเองมาส่งต่อให้ผู้คน เพราะกว่าจะเป็นเราในวันนี้ มีหลายคนต้องเสียน้ำตาไปไม่รู้กี่หยด กระดาษกี่ใบที่ต้องวิเคราะห์เรื่องผม” ดีนกล่าวทิ้งท้าย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising