×

อะไรทำให้เมืองหนึ่งกลายเป็นเมืองดนตรี ประเทศไทยจะมี Music City ได้ไหม? [PR News]

18.05.2018
  • LOADING...

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ คำว่า Music City เริ่มเป็นที่พูดถึงกันอย่างหนาหูมากขึ้นจนน่าสนใจ ตั้งแต่เริ่มแรกที่คุณปิยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี หรือพาย ฟังใจ พูดถึงนิยามของ ‘กรุงเทพฯ เมืองดนตรี’ ไว้อย่างน่าอ่านในบล็อกส่วนตัวเมื่อหลายปีที่แล้ว

 

ถึงตอนนี้ กระแสความเป็นเมืองดนตรีเริ่มจะกลับเข้าสู่การรับรู้ของผู้คน เรามาพูดเรื่องเมืองดนตรีกันสักครั้งดีกว่า

 

ว่ากันง่ายๆ Music City คือเมืองหรือชุมชนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยดนตรี ไม่ว่าจะด้วยการจัดเทศกาลดนตรีใหญ่ยักษ์บิ๊กเบิ้ม หรือว่าจะด้วยความเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยไลฟ์เฮาส์ผับบาร์ที่อ้าแขนต้อนรับให้เราเดินทางเข้าไปเสพดนตรีสดกันให้หายอยากก็ตามที

 

เมืองดนตรีมีอยู่มากบนโลกใบนี้ ที่เด่นๆ เลยก็อาทิ ลิเวอร์พูล เมืองต้นกำเนิดของวงดนตรีในตำนานอย่างเดอะบีเทิลส์ นิวออร์ลีนส์ ที่เป็นต้นกำเนิดของดนตรีแจ๊ซ ออสเตรียซึ่งโดดเด่นด้วยดนตรีคลาสสิก หรือแนชวิลล์ ที่เป็นเมืองสัญลักษณ์ของดนตรีคันทรี

 

The Beatles, Liverpool
Photo: www.beatlesbible.com

 

จะเห็นว่าเมืองดนตรีที่กล่าวข้างต้น เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ มีที่มาที่ไปในการเป็นเมืองดนตรี มีเรื่องราวให้นักฟังเพลงสามารถตามรอย ดื่มด่ำไปกับวัฒนธรรมดนตรีที่เข้มข้นของเมืองเหล่านั้นได้

 

แต่กระนั้นก็ยังมีเมืองดนตรีอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือเมืองที่ไม่มีหรอก ประวัติศาสตร์ด้านดนตรี หรือวัฒนธรรมที่ข้นคลั่ก แต่เป็นเมืองที่มีการผลักดันตัวเองอย่างมากจนไปถึงจุดที่กลายเป็นเมืองดนตรี อย่างเช่นเมืองออสติน ในเท็กซัส ที่เป็นเมืองทะเลทราย ไม่มีอะไรเลย แต่กลับมีแรงผลักดันจากทั้งเอกชนและภาครัฐ ที่อยากสร้างให้เมืองที่ไม่มีอะไรแห่งนี้กลับมีอะไรขึ้นมาด้วยดนตรี ในปี 1987 งานมิวสิกเฟสติวัลอย่าง South by Southwest จัดขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรกด้วยคนดูหลักร้อยคน ซึ่งน่าท้อใจเป็นอันมาก

 

แต่หลังจากนั้น 30 ปีผ่านมา งานเฟสติวัลนี้ก็ขยายไปสู่พื้นที่ของภาพยนตร์ และมัลติมีเดีย รวมทั้งเทคโนโลยี พร้อมผู้เข้าร่วมหลักหมื่น

 

South by Southwest
Photo: www.pastemagazine.com

 

และไม่ใช่แค่มิวสิกเฟสติวัลเท่านั้น ออสตินยังมีไลฟ์เฮาส์จำนวนมากเป็นพื้นที่ให้ศิลปินท้องถิ่น (และศิลปินขาจรต่างถิ่น) ได้ออกมาแสดงฝีมือและผลงานให้ผู้ฟังได้เสพอย่างเพลินใจ ด้วยเหตุนี้ออสตินเลยได้ชื่อว่าเป็น ‘Live Music Capital of the World’ เมืองทะเลทรายที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีสดตลอดวันตลอดปี

 

แล้วในประเทศไทยจะมีบรรยากาศแบบนั้นเกิดขึ้นได้บ้างไหม?

 

คำตอบคือ เป็นไปได้ (อย่างที่พอดแคสต์ Eargasm Deep Talk ตอนนี้ได้กล่าวไว้) เพราะกรุงเทพมหานครมีศักยภาพที่จะไปถึงจุดนั้นได้ หากมีการเคลื่อนไหวกันอย่างมีจุดหมาย

 

กรุงเทพฯ มีร้านรวงพอจะให้ศิลปินได้แสดงสด มีซีนดนตรีที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์พอที่จะมีซาวด์เป็นของตัวเอง รวมถึงการเดินทางไปยัง venue ดนตรีต่างๆ ที่ยังพอเห็นอนาคตได้ว่าสามารถปรับปรุงให้สะดวกขึ้นได้ (อาจจะยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ แต่ก็ยังมีหวัง) ฉะนั้น ความฝันที่จะเห็นเมืองหลวงของไทยเป็นเมืองดนตรีก็ไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อมแต่อย่างใด

 

ซึ่งอีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าอย่างนั้นแล้ว นอกจากเมืองหลวงพี่ใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ที่ซึ่งความเจริญมากระจุกรวมอยู่นี้จะสามารถพัฒนาไปเป็นเมืองดนตรีได้แล้ว ยังมีเมืองอื่นๆ ในประเทศไทยที่มีศักยภาพพอจะเป็นเมืองดนตรีได้อีกไหม?

 

อันที่จริงในแง่ซาวด์ดนตรีแล้วมีหลายจังหวัดที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ที่รุ่มรวยวัฒนธรรม เข้มข้นไปด้วยศิลปะ และคราคร่ำไปด้วยศิลปิน ซาวด์แบบเชียงใหม่เคยเข้ามาตีตลาดในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วงอย่าง Acappella 7 หรือ ETC. ไปจนวง Mild ก็ต่างเป็นนิยามซาวด์แบบเชียงใหม่ จนคนไทยเคย ‘ฮิต’ เชียงใหม่ซาวด์กันไปช่วงใหญ่ๆ เลยทีเดียว

 

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเมืองในไทยที่เริ่มกลายเป็นเมืองที่มีภาพลักษณ์ทางดนตรีด้วยการเข้ามาของมิวสิกเฟสติวัล อย่างเช่น เทศกาลบิ๊กเมาน์เท่นที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา เทศกาลวันเดอร์ฟรุ๊ต ที่พัทยา จ.ชลบุรี หรือหัวหินแจ๊ซเฟสติวัล ที่จัดกันมาตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา

 

ซึ่งงาน Hua Hin International Jazz Festival ในปีนี้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนคือ Hitman Jazz ค่ายเพลงที่ขึ้นชื่อด้านนำศิลปินแจ๊ซจากต่างประเทศมาแนะนำให้คนไทยรู้จัก และภาครัฐคือเทศบาลเมืองหัวหิน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมด้านดนตรีในหัวหิน และพยายามย้ำภาพลักษณ์ความเป็นแจ๊ซให้แก่เมืองชายทะเลแห่งนี้ด้วย

 

 

โดยในปีนี้ก็ยังมีศิลปินแจ๊ซฝีมือดีทั้งจากไทยและต่างประเทศมาร่วมเอ็นจอยกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็นขาประจำอย่าง โก้ มิสเตอร์แซกแมน ที่คราวนี้มาเป็นวง The Sound of Siam ที่รวมนักดนตรีมือดีสายแจ๊ซทั้งโซ่ มือเปียโนจากวง ETC. ดั๊ก มือกลองมือเก๋า และนักดนตรีไทยหลายชีวิตที่จะมาร่วมแจมกันในโชว์ครั้งนี้

 

ส่วนด้านศิลปินต่างประเทศนั้นก็มี Shakatak วงแจ๊ซ ฟังก์ ดิสโก้ จากอังกฤษ Ulf & Eric Wakenius พ่อลูกมือกีตาร์คลาสสิกจากสวีเดน Dimension วงฟิวชันแจ๊ซจากญี่ปุ่น และอีกมาก ที่จะมาเล่นให้ฟังกันแบบฟรีๆ ทั้งยังมี Open Stage ให้ผู้ชมขึ้นไปมีส่วนร่วมกับการแสดงดนตรี และ Workshop ดนตรีจากศิลปินระดับนานาชาติฟรีอีกด้วย

 

 

ถ้าใครเป็นนักฟังเพลงก็น่าจะลองไปชิลชายทะเลฟังเพลงแจ๊ซกันดู ตลอดเวลาสองวัน 18-19 พฤษภาคมนี้ ที่ชายหาดหัวหิน เราอาจจะได้เป็นสักขีพยานการกำเนิดของหัวหินเมืองดนตรีก็เป็นได้

 

ติดตามรายละเอียดงาน Hua Hin International Jazz Festival เพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/HuaHinJazzFest

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising