×

โควิด-19 เปลี่ยนผู้บริโภคไทยอย่างไร เจาะลึกพฤติกรรมและการตัดสินใจซื้อในช่วงก่อน-ระหว่าง-หลังเกิดวิกฤต

15.04.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • การระบาดของโรคโควิด-19 ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ทั้งทางโครงสร้างสังคม สภาพจิตใจของผู้บริโภค รวมไปถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
  • จากการศึกษาของ วันเดอร์แมน ธอมสัน เกี่ยวกับผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 พบว่า 3 ใน 4 คาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่าสถานการณ์โควิด-19 จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่คนไทยมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจการเงินมากที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก
  • สินค้า Low-Involvement เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าสำหรับสุขภาพและความงาม ผู้บริโภคไทยยังซื้อเท่าเดิม แต่หันไปซื้อจากออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นแบรนด์จึงไม่ควรหยุดทำการตลาดกับผู้บริโภค
  • สินค้าประเภท High-Involvement เช่น ยานยนต์ อสังหาริมทรัพย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พบความตั้งใจในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคลดลงทุกกลุ่มสินค้า โดยคนรายได้น้อยมอง ‘ความจำเป็น’ แต่คนรายได้สูงมอง ‘ความคุ้มค่าในการลงทุน’
  • ร้านค้าปลีก-ค้าส่ง และสถานีบริการน้ำมัน ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ยังมีการใช้จ่ายเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ดังนั้นแบรนด์จำเป็นต้องสร้างฐานลูกค้าที่มีความภักดีต่อแบรนด์ เพื่อรักษาฐานลูกค้าของแบรนด์ให้ยังคงกลับมาใช้บริการปกติและรักษาการใช้จ่ายเอาไว้

ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับผู้คนและภาคธุรกิจต่างๆ ซึ่งการระบาดนี้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ทั้งทางโครงสร้างสังคม สภาพจิตใจของผู้บริโภค รวมไปถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ 

 

เพื่อเข้าใจผู้บริโภคในสถานการณ์ช่วงนี้ วันเดอร์แมน ธอมสัน และแดทเทล ได้ร่วมกันสำรวจพฤติกรรมการซื้อของคนไทยในสถานการณ์โควิด-19 ระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2563 จำนวน 1,243 คน อายุ 15-69 ปี ชาย 32% หญิง 68% ครอบคลุมกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด การศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาถึงปริญญาเอก รายได้ 10,000-50,000 บาทขึ้นไป 

 

โดยมีแบ่งหมวดหมู่กลุ่มผลิตภัณฑ์เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าที่ใช้ความพยายามในการซื้อน้อย (Low-Involvement) สินค้าที่ต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจซื้อ (High-Involvement) และธุรกิจค้าปลีกและการบริการ (Retail & Services) ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มจะมีพฤติกรรมการซื้อกลุ่มสินค้าเหล่านี้แตกต่างกันออกไปด้วยหลากหลายเหตุผล สินค้าบางชนิดได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก สินค้าบางชนิดอาจแทบไม่ได้รับผลกระทบเลย เจ้าของแบรนด์ต่างๆ ควรสร้างความเข้าใจในพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจในสภาวะวิกฤตและในอนาคต

 

ประเทศไทยมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจการเงินมากที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก

จากการศึกษาของวันเดอร์แมน ธอมสัน เกี่ยวกับผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศต่างๆ ทั้ง จีน ฮ่องกง ไทย สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ด้วยการเก็บข้อมูลบันทึกผลและติดตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคพบว่า 3 ใน 4 คาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่าสถานการณ์โควิด-19 จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

 

 

ในขณะเดียวกันยังพบความเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับความกังวลต่อการติดเชื้อ ซึ่งความกังวลนี้จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อใช้สื่อโซเชียลมีเดียมากขึ้น และพบว่าผู้ที่มีความกังวลเพิ่มสูงขึ้นดังกล่าวมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 43% ในออสเตรเลีย รองลงมาคือ ไทย 14%, สิงคโปร์ 13%, ฮ่องกง 8% และจีน 3% 

 

ในส่วนของการบริโภคสื่อพบว่ามีมากขึ้นในสื่อทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย ข่าว การประชุมออนไลน์ ทีวีดิจิทัล การสตรีมมิง เกมออนไลน์ มิวสิกสตรีมมิง หนังสือ หนังสือพิมพ์ และพอดแคสต์ 

 

นอกจากนี้จากการศึกษายังพบว่า ในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิก จีนและสิงคโปร์คือประเทศที่มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะกลับมาได้เร็วที่สุด เมื่อโควิด-19 สิ้นสุดลง ขณะที่ประเทศไทยมีความกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงิน โดย 46% ของคนไทยกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอยอย่างต่อเนื่อง และมีเพียง 15% ของคนไทยเท่านั้นที่เห็นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วทันทีที่สถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุดลง

 

เมื่อกังวลมาก พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทยจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย วันเดอร์แมน ธอมสัน และแดทเทล ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ จึงได้สำรวจพฤติกรรมและการตัดสินใจของผู้บริโภคต่อการซื้อสินค้าในช่วงก่อน-ระหว่าง-หลังเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 โดยศึกษาผลกระทบเชิงลึกใน 3 กลุ่มธุรกิจที่แตกต่างกัน ได้แก่ สินค้าที่ใช้ความพยายามในการซื้อน้อย (Low-Involvement) สินค้าที่ต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจซื้อ (High-Involvement) และธุรกิจค้าปลีกและการบริการ (Retail & Services)

 

Low-Involvement: คนซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและของใช้ภายในบ้านในปริมาณที่มากขึ้นและไซส์ใหญ่ขึ้น

สินค้า Low-Involvement เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าสำหรับสุขภาพและความงาม และผลิตภัณฑ์ของใช้ภายในบ้าน สำหรับช่องทางการซื้อสินค้าของสินค้ากลุ่มนี้ จะเห็นว่าในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 การซื้อสินค้าผ่านช่องทางหน้าร้านหรือออฟไลน์ได้รับความนิยมสูงมากเมื่อเทียบกับช่องทางออนไลน์ โดยร้านสะดวกซื้อได้รับความนิยมสูงที่สุดกว่า 76%

 

 

สำหรับช่วงระหว่างสถานการณ์โควิด-19 พบว่า ผู้มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน มีการซื้อสินค้าทั้งหน้าร้านและออนไลน์น้อยลงหรือหยุดซื้อ อย่างไรก็ตามพบว่า สำหรับร้านสะดวกซื้อ ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 50% ยังคงซื้อสินค้าที่ร้านสะดวกซื้อเท่าเดิมหรือบ่อยขึ้น ขณะที่ผู้มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือนมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ เท่าเดิมหรือบ่อยขึ้นในช่วงระหว่างที่เกิดเหตุการณ์โควิด-19 และใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่าเดิม 

 

โดยเมื่อสำรวจอย่างละเอียด พบว่า สำหรับสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มยังมีการซื้ออย่างต่อเนื่อง และซื้อสินค้าในปริมาณเท่าเดิมหรือมากขึ้น เลือกขนาดสินค้าใหญ่ขึ้นและจำนวนมากขึ้น สินค้าที่มีการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดที่สุดคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีแนวโน้มการซื้อเพิ่มขึ้นสูงที่สุดกว่า 52% สำหรับสินค้าประเภทสุขภาพและความงาม ผู้บริโภคยังคงซื้อสินค้าหมวดหมู่นี้ โดยยาสามัญประจำบ้านหรือยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งยา ถือเป็นสินค้าที่คนนิยมซื้อมากที่สุด ทั้งปริมาณที่ซื้อมากขึ้นกว่า 32% ขนาดบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ขึ้น 17% และมีจำนวนการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นถึง 28% 

 

แม้ว่าเครื่องสำอางยังมีการซื้อที่คงที่ แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะมีการใช้จ่ายน้อยลง และสำหรับสินค้าประเภทของใช้ภายในบ้าน พบว่าได้รับผลกระทบน้อย มีการซื้อผลิตภัณฑ์ซักผ้าและกระดาษชำระมากขึ้น ทั้งปริมาณในการซื้อ (29% และ 24%) ขนาดบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ขึ้น (18% เท่ากันทั้งผลิตภัณฑ์ซักผ้าและกระดาษชำระ) และมีการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น (24% และ 22%) 

 

 

และเมื่อสอบถามถึงพฤติกรรมหลังผ่านสถานการณ์โควิด-19 พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะยังคงหวาดระแวงต่อสถานการณ์ โดยจะไปซื้อสินค้าตามสถานที่ต่างๆ น้อยลง เพราะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ประกอบกับรายได้ที่ไม่มั่นคงในช่วงที่ผ่านมา เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่คาดการณ์หรือวางแผนที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมและลดการซื้อสินค้าต่างๆ ในอนาคต 

 

นอกจากนี้ จากการศึกษาในครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ พบว่า สำหรับสินค้ากลุ่มนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีแบรนด์ที่ต้องการซื้อในใจอยู่แล้ว โดยกระดาษชำระถือเป็นสินค้าที่คนส่วนใหญ่มักมีแบรนด์อยู่ในใจอยู่แล้วกว่า 75% 

 

ในขณะที่วิตามินและอาหารเสริมเป็นสินค้าที่คนส่วนใหญ่มีแบรนด์ที่อยู่ในใจน้อยที่สุดอยู่ที่ 47% (ไม่รวมเบียร์และผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เนื่องจากเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม) สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคมีความภักดีต่อแบรนด์สูงที่สุด (67% และ 69%) ในขณะที่ขนมทานเล่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และขนมปัง มีแนวโน้มสูงมากที่คนจะเปลี่ยนแบรนด์เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจซื้อ

 

แบรนด์ควรรับมืออย่างไร

  1. ผู้บริโภคยังคงมีความต้องการในการซื้อสินค้า Low-Involvement อย่างต่อเนื่องหรือต้องการซื้อเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรหยุดทำการตลาดกับผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่หยุดบริโภคสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อออนไลน์หรือออฟไลน์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะสร้างแบรนด์ของตนให้นั่งอยู่ในใจผู้บริโภคผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้แบรนด์ยังอยู่ในสายตาผู้บริโภคอยู่ เน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภคเพื่อสร้างการรับรู้และความภักดีต่อแบรนด์ในอนาคต

 

  1. ช่องทางออฟไลน์ยังคงเป็นช่องทางที่ควรมีและต้องเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อการกระจายสินค้าให้ครบทุกช่องทางและเกิดการซื้อในทุกช่องทาง ไม่ควรลดราคา ควรเปลี่ยนเป็นการเพิ่มบรรจุภัณฑ์หรือจับคู่สินค้าเพื่อความคุ้มค่าในราคาที่สมเหตุสมผลเพื่อเพิ่มยอดขาย

 

  1. พัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ โดยเพิ่ม Call-to-Action เพื่อดึงผู้บริโภคเข้าสู่อีคอมเมิร์ซผ่านการสื่อสารรูปแบบต่างๆ เพิ่มโปรโมชันส่งเสริมการขายในรูปแบบการฟรีค่าจัดส่ง หรือซื้อ 1 แถม 1 เพื่อเพิ่มยอดขายในออนไลน์

 

  1. ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีแบรนด์สินค้าที่อยู่ในใจ แต่เมื่อต้องตัดสินใจซื้อ เกือบ 1 ใน 3 เลือกที่จะเปลี่ยนแบรนด์ ควรกลับสู่การสื่อสารพื้นฐานตามพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคด้วยการสื่อสารถูกที่ ถูกเวลา ถูกเป้าหมาย เลือกสื่อที่สร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์และใช้สื่อที่หลากหลาย นอกจากนี้แทนที่จะสื่อสารแต่เรื่องของแบรนด์และสินค้า ให้เปลี่ยนเป็นมุมมองของผู้บริโภคดูว่าสินค้าของเราจะช่วยให้ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตของเขาดีขึ้นได้อย่างไร

 

High-Involvement: คนรายได้น้อยมอง ‘ความจำเป็น’ แต่คนรายได้สูงมอง ‘ความคุ้มค่าในการลงทุน’ 

สินค้าประเภท High-Involvement เช่น ยานยนต์ อสังหาริมทรัพย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การลงทุนและการประกัน และการท่องเที่ยว ในช่วงระหว่างสถานการณ์โควิด-19 พบว่า ความตั้งใจในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคลดลงทุกกลุ่มสินค้า แต่ธุรกิจการลงทุนและประกันมีแนวโน้มการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน พบว่า มีแนวโน้มซื้อสินค้าประเภทยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 

 

โดยหลังโควิด-19 พบว่า ผู้มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือนมีแนวโน้มที่จะลดหรือหยุดการซื้อสินค้าและบริการไปก่อน ขณะที่ผู้มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือนมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้าและบริการทุกกลุ่มธุรกิจภายในระหว่าง 1 เดือนถึงเกิน 1 ปีหลังผ่านพ้นโควิด-19 โดยเฉพาะยานยนต์นั้นจะมีแนวโน้มกลับสู่การซื้อปกติในช่วง 3-6 เดือน ถึง 55% และเครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการท่องเที่ยว จะมีแนวโน้มกลับสู่การซื้อปกติโดยเร็วที่สุดในช่วง 1-3 เดือน อยู่ที่ 8% 

 

 

และเมื่อทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อและความภักดีต่อแบรนด์ สำหรับกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 40,000 บาทต่อเดือน พบว่า ‘ความจำเป็น’ คือปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุด คิดเป็น 57% เนื่องมาจากการใช้จ่ายที่มีอย่างจำกัด ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้เกิดความลังเลในการพิจารณาซื้อสินค้า โดย 52% ไม่มีแบรนด์ที่ชอบเป็นพิเศษ แต่เมื่อเลือกแล้ว คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะภักดีต่อแบรนด์ 52% เนื่องจากไม่ต้องการเปลี่ยนไปใช้สินค้าและบริการที่ตนเองไม่คุ้นเคย 

 

สำหรับกลุ่มผู้ที่มีรายได้มากกว่า 40,000 บาทต่อเดือน พบว่า ‘ความคุ้มค่าในการลงทุน’ คือสิ่งที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญมากที่สุดกว่า 80% และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีแบรนด์สินค้าอยู่ในใจอยู่แล้ว 69% และเมื่อตัดสินใจซื้อ คนกลุ่มนี้จะมีความภักดีต่อแบรนด์มากกว่าอีกด้วย โดยคิดเป็น 56%

 

แบรนด์ควรรับมืออย่างไร

  1. สินค้าประเภทยานพาหนะถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเหตุการณ์โควิด-19  แต่ก็เป็นกลุ่มที่จะฟื้นฟูสู่สภาวะปกติไวที่สุดด้วย โดยในตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่แบรนด์รถยนต์และยานพาหนะจะลุกขึ้นมาสร้างการรับรู้ในเชิงบวกต่อแบรนด์ของตนเอง เพื่อที่จะได้ครองใจผู้บริโภค และเมื่อวันที่เขาตัดสินใจซื้ออีกครั้ง แบรนด์ที่อยู่ในใจจะเป็นผู้ถูกเลือกในที่สุด และสำหรับหมวดการลงทุนและการประกัน ให้เน้นไปที่การเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้บริโภค เพราะในปัจจุบันพวกเขาเหล่านี้มีความกังวลอย่างมากต่อความไม่แน่นอนทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

  1. สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ควรใช้การสื่อสารที่ต่างกัน สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย แบรนด์จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของสินค้าและบริการต่อชีวิตของ สิ่งที่ไม่สามารถขาดได้ในชีวิต และสำหรับผู้ที่มีรายได้มาก แบรนด์จำเป็นต้องแสดงความคุ้มค่าในการลงทุนออกมาให้เห็น

 

  1. เมื่อไรก็ตามที่สินค้ากลุ่ม High-Involvement สามารถไปอยู่ในใจของผู้บริโภคแล้ว เมื่อนั้นจะเกิดความภักดีต่อแบรนด์ เป็นความสัมพันธ์ระยะยาวต่อไป ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคกลุ่มไหนก็ตาม

 

  1. สำหรับหมวดหมู่ที่ได้รับผลกระทบจากยอดขายหน้าร้านหรือตามชั้นวาง ถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มรุกตลาดอีคอมเมิร์ซและช่องทางออนไลน์อย่างจริงจัง โดยสร้างการรับรู้ด้วยกลยุทธ์ออนไลน์ที่แข็งแรง จะช่วยหล่อเลี้ยงให้แบรนด์ยังเติบโตต่อไปได้ และผลักดันสินค้าที่มีมูลค่าไม่สูงเพื่อกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายสูงขึ้น

 

  1. รักษากลุ่มผู้ที่มีความต้องการซื้อสินค้าและบริการ หรือผู้ที่ชะลอการซื้อออกไปก่อน โดยสร้างการพูดถึงโดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ทุกช่องทาง เจาะกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น นำเอาการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ ประกอบกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Marketing Automation เพื่อสร้างการสื่อสารที่ตรงต่อความต้องการผู้บริโภค รักษาฐานผู้ที่ต้องการซื้อเอาไว้ หรือนำกลุ่มผู้บริโภคกลับสู่กระบวนการตัดสินใจอีกครั้ง นอกจากนี้ให้อุดช่องว่างด้วยการทำโปรโมชันที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น เงินมัดจำ ผ่อน 0% ส่วนลดพิเศษ เป็นต้น

 

  1. ต้องเริ่มวางแผนฟื้นฟูจากเหตุการณ์โควิด-19 เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จะมีพฤติกรรมจากส่วนที่ติดมาจากช่วงโควิด-19 

 

 

Retail & Services: ร้านค้าปลีก-ค้าส่ง และสถานีบริการน้ำมันได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

กลุ่มธุรกิจค้าปลีกและบริการ เช่น ร้านค้าปลีก ร้านค้าส่ง ร้านอาหาร ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย ร้านความงามและสุขภาพ และสถานีบริการน้ำมัน จากการสอบถามในเรื่องของความถี่ในการไปใช้บริการช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 และช่วงระหว่างสถานการณ์โควิด-19 เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วพบว่า ความถี่ในการไปใช้ธุรกิจค้าปลีกและการบริการลดลงในทุกธุรกิจ 

 

 

แต่ว่าร้านค้าปลีก-ค้าส่ง และสถานีบริการน้ำมันได้รับผลกระทบน้อยที่สุด (-8.3% และ -13.2%) ในขณะที่ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย ร้านกิจกรรมเพื่อสุขภาพ และร้านอาหาร ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีผู้ใช้ลดลงมากถึง -60.8%, -58.1% และ -56.5% และเมื่อทำการเปรียบเทียบการใช้จ่ายในช่วงก่อนโควิด-19 และช่วงระหว่างโควิด-19 พบว่า ร้านค้าปลีก-ค้าส่ง และสถานีบริการน้ำมันยังมีการใช้จ่ายเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม แต่สำหรับธุรกิจกลุ่มนี้อาจพบความผันผวนได้เช่นกัน เนื่องจากพบว่ากลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามมีสัดส่วนการใช้จ่ายที่น้อยลงอยู่ในธุรกิจดังกล่าวด้วย 

 

ในขณะที่ธุรกิจอื่นที่มีการใช้จ่ายน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ไปจนถึงการหยุดใช้บริการ และเมื่อมีการสอบถามเพิ่มเติมถึงการใช้จ่ายในช่วงหลังโควิด-19 พบว่า ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะกลับสู่สภาวะการใช้จ่ายปกติ โดยเฉพาะร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน ร้านความงามและยา ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย และร้านไลฟ์สไตล์และสุขภาพนั้น พบว่ามีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะใช้จ่ายหรือใช้บริการมากขึ้น (18%, 10%, 9%, 8%, 7%, 7% ตามลำดับ)

  

แบรนด์ควรรับมืออย่างไร

  1. จำเป็นต้องสร้างฐานลูกค้าที่มีความภักดีต่อแบรนด์ เพื่อรักษาฐานลูกค้าของแบรนด์ให้ยังคงกลับมาใช้บริการปกติและรักษาการใช้จ่ายเอาไว้

 

  1. จากการที่ผู้บริโภคออกจากที่อยู่อาศัยน้อยลง ร้านอาหาร ร้านเพื่อความบันเทิงและการผ่อนคลาย และร้านกิจกรรมเพื่อสุขภาพ มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสใหม่เพื่อที่จะรักษาธุรกิจและการทำกำไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อย่างเช่น ร้านอาหาร จะเป็นต้องเพิ่มบริการส่งถึงบ้าน และจัดการเรื่องความสะอาดมากขึ้น ธุรกิจโรงภาพยนตร์ควรสร้างบริการสตรีมภาพยนตร์ออนไลน์แบบเก็บค่าธรรมเนียม และธุรกิจสถานบันเทิงสตรีมคอนเสิร์ตออนไลน์ บาร์เสมือน (Virtual Bar) หรือการบริการส่งเครื่องดื่มถึงบ้าน

 

  1. ร้านขายยาและความงาม ห้างสรรพสินค้า และร้านกิจกรรมเพื่อสุขภาพอาจจะไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ มากในขณะนี้ แต่ธุรกิจเหล่านี้มีทำเลที่ตั้งในพื้นที่เดียวกันหรือบริเวณใกล้กัน ควรวางแผนสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์โควิด-19 ร่วมกัน เช่น ส่วนลดพิเศษสำหรับสมาชิก วางแผนการสื่อสารร่วมกันเพื่อดึงคนเข้ามาใช้บริการ และจัดมาตรการช่วยเหลือพนักงานที่ได้รับผลกระทบในช่วงเหตุการณ์โควิด-19 

 

มัวรีน ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วันเดอร์แมน ธอมสัน ประเทศไทย ย้ำว่า “แบรนด์ทุกแบรนด์ในตอนนี้ควรที่จะสร้างโอกาสใหม่ที่จะเข้าถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางดิจิทัล เนื่องจากผู้บริโภคอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น มีความเปิดกว้างในการดูสื่อมากขึ้น หากแบรนด์ต่างๆ มีความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภคและปรับตัวได้อย่างทันท่วงที ก็จะทำให้แบรนด์นั้นสามารถพลิกจากวิกฤตเป็นโอกาสได้ และสามารถสร้างรายได้และครองใจผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและหลังพ้นวิกฤตโรคระบาด”

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising