ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้ซอยศูนย์วิจัยก็มีร้านสเต๊กกับเขาบ้างแล้ว ไม่ไกลจากโรงพยาบาลกรุงเทพ และอาร์ซีเอ เราสะดุดตากับห้องกระจกใสที่เต็มไปด้วยเนื้อดรายเอจและราวแขวน หากเปรียบเป็นร้านขายเสื้อผ้า ก็ถือว่าแบรนด์นี้จัด Lookbook หน้าร้านได้อย่างน่าสนใจเหลือเกิน ชักชวนให้สายเนื้อทั้งหลายเข้าไปลองชมและชิม เผลอๆ อาจได้กลับบ้านกันอีกถุงสองถุง
เรากำลังพูดถึง Harrison Butcher (แฮริสัน บุชเชอร์) ร้านเนื้อสเต๊กสายอเมริกัน-ไทย เปิดใหม่ในซอยศูนย์วิจัย ไม่ไกลจากโรงพยาบาลกรุงเทพ แม้จะเป็นน้องใหม่ในวงการร้านเนื้อ แต่ร้านนี้เป็นที่รู้จักและอยู่ในวงการเกษตรอินทรีย์มาสักพักใหญ่แล้ว
‘Chocolate Cake’ ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ในจังหวัดสระแก้ว เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ส่งต่อให้ฟาร์มโคหลายจังหวัด ภายหลังเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลได้ขอร้องให้เจ้าของฟาร์มหลายแห่งช่วยรับซื้อโค เนื่องจากเกษตรกรแบกรับต้นทุนไม่ไหว จึงเป็นจุดพลิกผันให้ฟาร์ม Chocolate Cake ขยายแผนทำฟาร์มโคอย่างจริงจัง คัดเฉพาะโคคุณภาพดี ไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดง และเปิดร้านขายส่งเนื้อในประเทศ จนกระทั่งเจอพื้นที่ร้านและทำเลที่น่าสนใจ จึงกลายมาเป็นโปรเจกต์ร้านสเต๊ก Harrison Butcher ในที่สุด ทั้งยังเป็นการส่งเสริมเนื้อจากท้องถิ่นไทย ที่บ้านเรากำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังที่เห็นจากหลายร้าน อาทิ Arno’s, Mahasan, Maillard Butcher & Steak ฯลฯ ที่นำเนื้อโคไทยมาใช้ สนับสนุนกสิกรชาวไทยพื้นบ้าน โดยนำมาขึ้นร้านพัฒนาต่อด้วยการดรายเอจ เพิ่มมูลค่าให้กับเนื้ออีกด้วย
The Vibe
ตัวร้านอยู่ในซอยศูนย์วิจัย ไม่ไกลจากถนนใหญ่เพชรบุรี เดินเข้าได้ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที จุดสังเกตก็คือห้องกระจกใสดรายเอจ (Dry Aged) เรียงรายด้วยเนื้อไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ บรรยากาศร้านสบายๆ มาด้วยโทนสีขาวดำและครัวเปิด ชุดยูนิฟอร์มพนักงานใส่กางเกงขาสั้นคอยถามไถ่เรื่องรสชาติและแนะนำเนื้อแต่ละประเภท
The Dishes
แน่นอนว่าดาวเด่นของร้านเนื้อแห่งนี้ก็คือเนื้อไทยที่ผ่านกระบวนการดรายเอจ 20-30 วันที่ห้องกระจกหน้าร้าน และควบคุมอุณหภูมิให้คงที่อยู่ที่ 1-3 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สมดุลที่สุด เพราะหากสูงกว่านี้ก็จะทำให้เนื้อเกิดแบคทีเรีย แต่ถ้าต่ำเกินไปก็ทำให้จุลินทรีย์ (Microorganism) หยุดทำงาน เนื้อก็จะไม่อร่อยเท่าที่ควร
(บน) Crying Tiger,
(ล่าง) สนใจเรื่องเนื้อปรึกษาพนักงานได้เลย
ระหว่างรอสเต๊กที่ใช้เวลาย่างสิบกว่านาที เราสั่งอะไรมารองท้องกันเสียก่อน เริ่มด้วย Crying Tiger (115 บาท) เสือร้องไห้ เนื้อติดมันหมักเครื่องปรุงลับเฉพาะ แล้วนำไปทอดหอมๆ กำลังดี จิ้มกับแจ่วและข้าวเหนียว กินเพลินจนอยากสั่งเพิ่มจานที่สอง ตามติดด้วย Meatballs (120 บาท) เนื้อสับปั้นก้อนราดซอสมะเขือเทศ เคี้ยวแล้วได้สัมผัสเนื้อแน่นกำลังดี
Meatballs เนื้อสับปั้นก้อนราดซอสมะเขือเทศชุ่มฉ่ำ
มาเพิ่มสีเขียวให้มื้ออาหารกันบ้าง Salmon Avocado Salad (175 บาท) ซีซาร์สลัดที่เพิ่มโปรตีนและไขมันดีด้วยแซลมอนและอะโวคาโด รับประทานคู่สลัดช่วยแก้เลี่ยนและตัดรสชาติได้
ส่วนไฮไลต์ของร้านต้องจานนี้ที่ไม่อยากให้พลาด Harrison Selected (475 บาท) เมนูเนื้อ 3 อย่าง ที่ร้านจะคัดเนื้อส่วนพิเศษประจำวันมาเสิร์ฟ สำหรับครั้งนี้มี Short Ribs BBQ, T-bone และ D-rump เนื้อสันสะโพก ในจานมาพร้อมพริกหวานย่าง เพิ่มรสชาติให้เนื้อด้วยเกลือนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นเกลือทะเล เกลือดำหิมาลัย หรือเกลือชมพูหิมาลัย และอย่าลืมจานเคียงสเต๊กอย่าง Mac & Cheese (115 บาท) มักกะโรนีอบชีสรสเข้มข้น หรือแบ็กทูเบสิกด้วย Mashed Potatoes (80 บาท) มันฝรั่งบดราดซอสเกรวี หอมกลิ่นเนย สัมผัสละมุนลิ้น
(บน) Mac & Cheese มักกะโรนีอบชีสรสเข้มข้น,
(ล่าง) ซีซาร์สลัดปลาแซลมอนก็มีสำหรับสายคลีน
นอกจากสเต๊กแล้ว เราอยากให้ลอง Beef Sausages (290 บาท) ไส้กรอกเนื้อดรายเอจบด ซึ่งทางร้านทำเองและใช้เนื้อวัวล้วน ไม่ผสมหมูหรือไก่ กินคู่กับซอสเห็ดและผักดอง หรือจะพร้อมเบียร์เย็นๆ สักแก้วจะดีมาก
(บน) Beef Sausages ไส้กรอกเนื้อดรายเอจบดที่ใช้เนื้อวัวล้วน
(ล่าง) Harrison Selected เมนูเนื้อ 3 อย่าง
หากยังไม่จุใจ สามารถเลือกสั่งเนื้อตามส่วนที่ต้องการได้ โดยเลือกจากตู้หน้าร้าน โดยมีค่าย่างเนื้อ 150 บาท และได้เครื่องเคียงฟรีหนึ่งอย่าง
What You Should Know
- ช่วงกลางวันมีเมนูราคาประหยัด เริ่มต้นที่จานละ 65 บาท หรือเป็นเซต เซตละ 89 บาท
- สามารถสั่งเนื้อกลับไปทำกินเองที่บ้าน หรือจะเลือกเนื้อส่วนที่ชอบให้เชฟย่างให้กินที่ร้านก็ย่อมได้
- หากมากินมื้อเย็น มีบริการจอดรถแบบ Valet สะดวกสบาย ไม่ต้องหาที่จอดรถเอง
Harrison Butcher
Open: เปิดบริการทุกวัน เวลา 11.30-22.00 น.
Address: 11/56 ซอยเพชรบุรี 47 บางกะปิ กรุงเทพฯ
Budget: 150-600 บาท
Contact: โทร. 02 821 5889
Page: www.facebook.com/harrisonbeef
Map:
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า