×

GULF เผย Q1 ขาดทุน 413.25 ล้านบาท เหตุขาดทุนค่าเงิน-กำไรปกติยังโต 8%

โดย efinanceThai
15.05.2020
  • LOADING...

GULF เผย Q1/63 ขาดทุน 413.25 ล้านบาท หลังค่าเงินบาทอ่อนค่า แต่กำไรจากการดำเนินการยังโต 8% อยู่ที่ 925 ล้านบาท รับรู้รายได้ไฟฟ้าหนุน-ต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง ยันไม่รับผลกระทบจากโควิด-19 เล็งออกหุ้นกู้ 10,000 ล้านบาทกลางปีนี้ขยายธุรกิจ 

 

ยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยผลประกอบการงวด Q1/63 ขาดทุน 413.25 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันปี 2562 ที่มีกำไร 1,292.68 ล้านบาท หรือ 0.12 บาทต่อหุ้น

 

ใน Q1/63 กลุ่มบริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวน 1,338 ล้านบาท เทียบกับผลกำไร 436 ล้านบาท และ 234 ล้านบาท ใน Q1/62 และ Q4/62 ตามลำดับ จากการอ่อนค่าลงอย่างมากของค่าเงินบาท จาก 30.3313 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้น Q4/62 เป็น 32.8298 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้น Q1/63

 

ในไตรมาส 1/63 มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) 925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% เทียบกับไตรมาส 4 ปี 2562 และเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน (YoY) จากโครงการ IPP ทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าหนองแซง (GNS) และโรงไฟฟ้าอุทัย (GUT) รวม 3,200 เมกะวัตต์ ได้รับค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) มากขึ้น ประกอบกับกลุ่ม SPP ทั้งหมดสามารถขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น

 

นอกจากนี้ยังมีต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติลดต่ำลงจาก 282 บาทต่อล้านบีทียู ในไตรมาส 1 ปี 2562 เป็น 267 บาทต่อล้านบีทียู ในไตรมาส 1 ปี 2563 ในขณะที่ค่า Ft เท่าเดิม ทำให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น

 

นอกจากนี้ในไตรมาส 1 ปี 2563 ยังรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากการเปิดดำเนินการของ SPP 12 โครงการ เมื่อเทียบกับ 10 โครงการในไตรมาส 1 ปี 2562 และจากการรับรู้เต็มไตรมาสของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เวียดนาม จำนวน 2 โครงการ อีกทั้งรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล กัลฟ์ จะนะ กรีน ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 มีโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) เท่ากับ 2,726 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้น 249 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับ 2,477 เมกะวัตต์ในไตรมาส 1 ปี 2562

 

ทั้งนี้โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดย IPP ทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าศรีราชา (GSRC) และโรงไฟฟ้าปลวกแดง (GPD) รวม 5,300 เมกะวัตต์ มีกำหนดที่จะเปิดดำเนินการตามแผนระหว่างปี 2564-2567 โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง ซึ่งเป็น IPP ขนาด 1,400 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างในปี 2564 และมีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในปี 2567 และ 2568 โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งเป็น IPP ขนาด 540 เมกะวัตต์ จะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 และมีกำหนดเปิดดำเนินการตามแผนในปี 2570 โดยหลังจากที่ทุกโครงการเปิดดำเนินการแล้ว กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,781 เมกะวัตต์

 

ส่วนการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น โครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 (ท่าเทียบเรือ F) มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ด้านโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดว่าจะมีการลงนามสัญญา PPP ในเดือนมิถุนายน 2563

 

สำหรับผลกระทบจากโควิด-19 ในภาพรวมทั้งปี บริษัทฯ คาดว่าจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ประมาณ 90% ขายให้ กฟผ. มีเพียงแค่ 10% ที่ขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรม โดยในไตรมาส 1 ปี 2563 ลูกค้าอุตสาหกรรมโดยรวมยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

 

บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อนอีกด้วย นอกจากนี้ลูกค้าอุตสาหกรรมยังมีการกระจายตัวอยู่ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมและบริษัทฯ ยังมีการขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม เฟส 1 ขนาด 30 เมกะวัตต์ ที่เวียดนาม ได้มีการเลื่อนกำหนดการเปิดดำเนินการจากสิ้นปี 2563 ไปเป็นพฤษภาคม 2564 เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการเดินทางของผู้รับเหมาจากประเทศจีนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ทั้งนี้โครงการยังคงได้รับค่าไฟฟ้าในอัตรา 9.8 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (c/kWh) ตามแผน

 

บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในการลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้กระแสเงินสด รวมถึงการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือการออกหุ้นกู้ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจดังกล่าว โดยมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ประมาณ 10,000 ล้านบาทกลางปีนี้ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ 1.51 เท่า

 

เรียบเรียง: สุรเมธี มณีสุโข

ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com  

 

 


ห้ามพลาด! ฟอรัมที่เจาะลึก New Normal ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย จากวิทยากรระดับประเทศ 40 คน ซื้อบัตรงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM ที่ https://www.eventpop.me/e/8705-economic-forum

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising