×

สธ. ยืนยัน แนวทางใช้ยารักษาโควิด เป็นไปตามข้อมูลวิชาการและคณะแพทย์ร่วมพิจารณา

โดย THE STANDARD TEAM
13.09.2022
  • LOADING...
ยารักษาโควิด

วันนี้ (13 กันยายน) นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิระดับ 11) และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยกรณีมีนักวิชาการทางการแพทย์หลายท่านแสดงความเป็นห่วงเรื่องประสิทธิภาพของยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) โดยระบุว่า มาตรการต่างๆ เกี่ยวกับโรคโควิดของประเทศไทย ทั้งการป้องกันควบคุมโรค การรักษาพยาบาล กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการในรูปของคณะกรรมการที่ประกอบด้วยนักวิชาการและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำ ร่วมพิจารณาจากข้อมูลการศึกษาทางวิชาการที่มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

 

โดยยาฟาวิพิราเวียร์เป็นยาตัวแรกที่มีการใช้ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาด ซึ่งในขณะนั้นเป็นสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มีการติดเชื้อที่ปอด โดยผลการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค และกองการแพทย์จีโนมิกส์และสนับสนุนนวัตกรรม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในผู้ป่วยโควิดที่มีอาการเล็กน้อยหรือปานกลาง ไม่มีภาวะปอดบวม และได้รับยาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มมีอาการ ติดตามประเมินอาการในโรงพยาบาลโดยบุคลากรทางการแพทย์ พบว่า ทำให้อาการของผู้ป่วยโควิดดีขึ้นเร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับยาอย่างชัดเจน (ครึ่งหนึ่งดีขึ้นใน 2 วันเมื่อได้รับยา) 

 

นพ.รุ่งเรืองกล่าวต่อไปว่า สำหรับการวิจัยยาฟาวิพิราเวียร์ของต่างประเทศดำเนินการคนละห้วงเวลา รวมถึงมีข้อแตกต่างในรายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาและการใช้จริงของไทย ซึ่งตั้งแต่มีการใช้ยาตัวนี้ อัตราการสูญเสียลดน้อยลงตามลำดับ โดยปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิดของไทยน้อยกว่า 0.1 % หรือน้อยกว่า 1 รายในผู้ติดเชื้อ 1,000 ราย ซึ่งนับว่าต่ำมาก นอกจากนี้ยาฟาวิพิราเวียร์ยังเป็นยาที่ใช้ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 18 ปีในขณะนี้ด้วย 

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญมีการติดตามข้อมูลการรักษา ผลการวิจัยใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับแนวทางการรักษาให้เหมาะสม จึงมีการนำยาตัวอื่นที่มีผลการศึกษารองรับมาใช้ด้วย เช่น ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ซึ่งเป็นยาชนิดฉีด มีกลไกการออกฤทธิ์ตำแหน่งเดียวกับฟาวิพิราเวียร์ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาการดูดซึมยา รับประทานไม่ได้ รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ 

 

ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) เป็นยารับประทานสำหรับผู้ใหญ่ มีกลไกการออกฤทธิ์จุดเดียวกัน ช่วยลดความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงได้ โดยต้องให้ภายใน 5 วันหลังเริ่มมีอาการ และยาแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) มีกลไกการออกฤทธิ์ที่เอนไซม์ ทำให้เชื้อลดจำนวนลง ซึ่งอยู่ระหว่างการกระจายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ หลังได้รับการอนุมัติจากศูนย์ปฏิบัติการฯ กระทรวงสาธารณสุข และ ศบค. ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยาฟาวิพิราเวียร์ที่มีการเผยแพร่ในขณะนี้ คณะกรรมการวิชาการฯ ได้รับทราบและจะนำเข้าสู่การพิจารณาปรับปรุงแนวทางการรักษาที่เหมาะสมต่อไป 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising