Grazia Gelato & Coffee คาเฟ่สไตล์อิตาเลียนที่เกิดจากการเดินทางและการตกหลุมรัก

ว่ากันว่าหากคุณถามหาที่นั่งเมื่อสั่งกาแฟในอิตาลี คนจะรู้ทันทีว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยว เพราะคาเฟ่ที่อิตาลีปราศจากเก้าอี้ และคนอิตาเลียนยืนดื่มกาแฟที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์กันเป็นกิจวัตร ด้วยวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์นี้เองทำให้ เกรซ-ธนมาศ อัษฎมงคลพันธ์ ตัดสินใจทิ้งความรู้วิชาแฟชั่นที่ร่ำเรียนมา แล้วเปิดคาเฟ่สไตล์อิตาเลียนในย่านบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ด้วยความตั้งใจสร้างวัฒนธรรมการดื่มกินแบบอิตาเลียนขนานแท้

แต่ใช่ว่าเกรซจะให้เรายืนจิบกาแฟ… เพราะ Grazia Gelato & Coffee มีเก้าอี้ให้เรานั่ง

คาเฟ่แห่งนี้เกิดจากความหลงใหลในวิถีการกินดื่มของคนอิตาเลียน โดยเฉพาะกาแฟและเจลาโตที่เกรซได้มีโอกาสสัมผัสเมื่อครั้งไปเรียนด้าน Fashion Entrepreneur ที่เมืองมิลาน ศูนย์กลางแฟชั่นของโลก

“คนอิตาเลียนดื่มกาแฟกันเป็นเรื่องปกติ และร้านกาแฟมีทั่วทุกที่เหมือนเซเว่นในบ้านเรา คนอิตาเลียนจะดื่มกาแฟก่อนไปทำงาน หลังมื้ออาหารเที่ยง ปิดท้ายมื้ออาหารเย็น คนที่นั่นไม่ได้ดื่มกาแฟเพื่อกระตุ้นให้ตื่นระหว่างวัน แต่ดื่มเพื่อความผ่อนคลาย เขาจึงดื่มกาแฟตลอดทั้งวัน อย่างเกรซเองก็ดื่มวันละ 8 แก้ว” นอกจากกาแฟแล้ว เกรซยังหลงใหลในเจลาโต หนึ่งในวัฒนธรรมการกินที่พบเห็นได้ทั่วไปในอิตาลี

“เริ่มต้นจากเกรซอ่านหนังสือหนักมากจนไม่มีเวลาทำกับข้าว จะให้กินอาหารฝรั่งก็เลี่ยน เลยเลือกกินเจลาโต เจลาโตที่อิตาลีใช้ส่วนผสมเข้มข้นมาก เกรซสามารถกินหนึ่งโคนสำหรับหนึ่งมื้อได้เลย อย่างเมืองไทย ไอศกรีมรสโยเกิร์ตอาจหมายถึงนมผสมผงโยเกิร์ต แต่ที่อิตาลีจะใช้โยเกิร์ตสด หรือถั่วพิสตาชิโอก็จะเป็นถั่วแบบร้อยเปอร์เซ็นต์”

หลังจากเรียนจบ เกรซตั้งใจแน่วแน่ที่จะจำลองคาเฟ่บรรยากาศอิตาเลียนมาไว้ที่เมืองไทย เธอไปเข้าคอร์สการทำเจลาโตที่เมืองเบอร์กาโมที่อยู่ห่างจากมิลานไป 1 ชั่วโมง ด้วยความโชคดี เธอกับมาสเตอร์ผู้สอนพูดคุยกันถูกคอจนนำมาสู่การเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ โดยปัจจุบันมาสเตอร์ท่านนี้รับหน้าที่ดูแลเบสเจลาโตที่เธอสั่งผลิตในอิตาลี

นอกจากเจลาโต เกรซตั้งใจให้ร้านของเธอมีกาแฟเป็นเครื่องดื่มหลัก ระหว่างนั้นเกรซได้พบกับ นิโคลา เอเบร์เล หนุ่มบาริสต้าในบาร์ที่เธอแวะดื่มเอสเพรสโซอยู่เป็นประจำ พร้อมเรื่องราวที่คล้ายกับหลุดมาจากนิยายชวนฝัน

“เกรซมีบาร์โปรดที่ไปประจำตั้งแต่สมัยเรียนชื่อ Serge Milano หลังจากเรียนจบ เกรซยังต้องบินไปๆ มาๆ เพื่อจัดการเรื่องเอกสารธุรกิจ เกรซเลยแวะไปดื่มกาแฟเหมือนเคยจนมีโอกาสได้คุยกับนิโคลา ซึ่งน่าแปลก เพราะเราเจอกันมาตั้งนานแล้ว แต่เหมือนโชคชะตาเพิ่งเป็นใจให้มีโอกาสได้คุยกัน”

บทสนทนายาว 3 ชั่วโมงที่ต้องสื่อสารกันผ่าน Google Translate ในคืนสุดท้ายก่อนเกรซกลับเมืองไทยคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ และทำให้หนุ่มอิตาเลียนผู้ไม่เคยเดินทางไปไหนไกลกว่าทวีปยุโรปตัดสินใจเก็บกระเป๋ามาเริ่มต้นธุรกิจกับเกรซที่เมืองไทย และในฐานะของคนรัก

The Vibe

บ้านของพี่ชายขนาด 300 ตารางวาที่ถูกทิ้งร้างได้รับการแปลงโฉมให้กลายเป็นคาเฟ่สไตล์อิตาเลียนอย่างที่ตั้งใจ เพื่อจำลองบรรยากาศอันมีเอกลักษณ์ ผนังของบ้านถูกเจาะให้เป็นหน้าต่างบานใหญ่ เปิดทางให้แสงลอดผ่านอย่างทั่วถึง โครงสร้างเน้นเส้นสายโค้งมนตามอย่างสถาปัตยกรรมอิตาเลียน

ภายในคุมโทนด้วยสีส้มอิฐและสีเขียวมะกอก ประดับด้วยเครื่องเรือนเก่า ขลังแต่อ่อนช้อย เฟอร์นิเจอร์ไม้ หินอ่อน และกำมะหยี่ได้รับการจัดวางอย่างลงตัว เติมเต็มพื้นที่ด้วยโต๊ะตัวสูงสำหรับยืนดื่มกาแฟตามวิถีต้นแบบ เคียงคู่กับชุดโต๊ะและเก้าอี้นั่งตามความคุ้นเคยของไทย ถ้วยชามวินเทจเป็นของสะสมทั้งของเกรซและคุณแม่ของนิโคลา บางส่วนนำมาใช้เสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มภายในร้าน

The Drinks

เครื่องดื่มในร้านตั้งใจชูวัฒนธรรมอิตาเลียนแท้ เมนูซิกเนเจอร์จึงเป็นกาแฟออริจินัลเรียบง่ายอย่างเอสเพรสโซและคาปูชิโน (แน่นอนว่าทางร้านมีอัฟโฟกาโต หรือไอศกรีมราดเอสเพรสโซให้สั่ง) เกรซและนิโคลาเลือกใช้เมล็ดกาแฟยี่ห้อ Filicori Zecchini จากเมืองโบโลญญา แบรนด์เก่าแก่อายุกว่าร้อยปี โดยทางร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย และกำลังทำพื้นที่ชั้น 2 ให้เป็นบูติกสำหรับแบรนด์นี้โดยเฉพาะ

นิโคลามีประสบการณ์ในตำแหน่งบาริสต้ามานานถึง 8 ปี เขาจึงรับหน้าที่ดูแลเมนูเครื่องดื่มและประจำการอยู่หน้าเครื่องทำกาแฟตั้งแต่เช้าจรดเย็น เขาแนะนำให้เราลอง Marocchino (95 บาท) เอสเพรสโซท็อปด้วยโฟมนม เสิร์ฟในแก้วขนาดเล็ก ให้รสชาตินุ่มละมุนจากผงโกโก้ที่โรยอยู่ด้านบน

(ขวา) Marocchino

อีกแก้วคือ Grazia Cappuccino (105 บาท) เมนูคาปูชิโนที่แสดงถึงวิถีอิตาเลียนแท้ โดยเฉพาะฟองนมไมโครโฟมที่เนียนละเอียดนุ่มริมฝีปากแบบสัมผัสได้ตั้งแต่แรกจิบ

Grazia Cappuccino

เราตั้งโจทย์สนุกๆ ให้เกรซเลือกกาแฟของนิโคลาที่เธอชอบขึ้นมาหนึ่งแก้ว เกรซเลือก Grazia Shakerato (125 บาท) อย่างไม่ลังเล เอสเพรสโซและน้ำตาลทรายแดงเชกในน้ำแข็ง ให้ความเย็นสดชื่นโดยยังคงความเข้มข้นของรสกาแฟ เกรซให้เหตุผลที่เลือกเมนูนี้ว่าเธอชอบดื่มกาแฟดำ และ Shakerato เป็นหนึ่งในไม่กี่เมนูเย็นที่หาดื่มได้ในประเทศอิตาลี

(ขวา) Grazia Shakerato

The Frozen

แน่นอนว่าที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือน Grazia Gelato & Coffee คือเจลาโต ซึ่งมีความแน่นหนึบกว่าไอศกรีมทั่วไป ใช้กรรมวิธีการปั่นที่ทำให้อากาศแทรกอยู่ในเนื้อน้อย เกรซตั้งใจเลี่ยงสารเคมีปรุงแต่ง จึงร่วมกับมาสเตอร์คิดค้นเบสวีแกนที่สกัดจากผักและผลไม้ 5 ชนิด โดยตั้งชื่อว่า Inceptum อันหมายถึงจุดกำเนิดโลก

เจลาโตของร้านทำจากวัตถุดิบสดและด้วยกรรมวิธีโฮมเมดหมุนเวียนรสชาติกันไป มีรสซิกเนเจอร์ในชื่อ Grazia ที่มีส่วนผสมของอะโวคาโดและนมอัลมอนด์ อีกทั้งรสช็อกโกแลต เสาวรส กรีกโยเกิร์ต บราวนี เอิร์ลเกรย์ ชาไทย มัตฉะ คาราเมล ฯลฯ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่มีในแต่ละวัน เลือกสั่งได้ทั้งแบบหนึ่งถ้วยหนึ่งรส (120 บาท) หรือผสมสองรสในหนึ่งถ้วยก็ได้ (160 บาท)

(ซ้าย) เจลาโตรสช็อกโกแลต (ขวา) เจลาโตรส Grazia และ Gusto Nicola

เรายังไม่ทันตั้งโจทย์ให้นิโคลาเลือกรสเจลาโตของเกรซที่เขาชอบบ้าง เกรซก็เฉลยกับเราก่อนว่า ณ วันที่เราไปเยือนร้าน (9 พ.ค.) เป็นวันครบรอบ 1 ปีที่นิโคลากับเกรซเริ่มต้นความสัมพันธ์ วันนี้จึงมีเมนูพิเศษคือ Gusto Nicola เจลาโตรสชาเอิร์ลเกรย์ผสมเลมอน เนื่องจากนิโคลาชอบดื่มชามะนาว ความหอมและรสชาตินวลละมุนที่เกิดจากความลงตัวของชาและเลมอนทำเอาเราตกหลุมรัก (กัสโต) นิโคลาไม่ต่างไปจากสาวเจ้าของร้านเลย

นอกจากเจลาโตและกาแฟ ใครที่อยากรับประทานเบเกอรีคู่กับเครื่องดื่ม ที่นี่มีขนมอบแบบโฮมเมดผลัดเปลี่ยนให้เลือกในแต่ละวันอีกด้วย

ชื่อร้าน Grazia มีความหมายถึง Grace ซึ่งก็คือชื่อของเกรซเอง เธอออกแบบให้ตัวอักษร a ตัวสุดท้ายสามารถกลับหัวเป็นตัว e เพื่อให้พ้องกับคำว่า Grazie ในภาษาอิตาเลียนที่แปลว่าขอบคุณ และ Grazia Gelato & Coffee เพิ่งมีอายุครบ 3 เดือนไปไม่กี่วันนี้ เรากระซิบถามถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตเมื่อมาอยู่เมืองไทยของนิโคลา

“ตอนเจอกันครั้งแรก ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยได้แต่มองและยิ้มให้กัน แต่ผมก็รู้สึกสบายใจ ทุกวันนี้เราไปด้วยกันได้ดี อาจจะมีข้อบกพร่องบ้าง แต่เราก็แชร์ข้อบกพร่องด้วยกัน ผมเองไม่ได้โปรดปรานเมืองไทยมากนัก แต่ผมก็ตัดสินใจมาที่นี่เพราะความรัก” นิโคลาตอบคำถามเราโดยมีเกรซนั่งฟังอยู่เคียงข้าง

ไม่ว่าจะด้วยความรักของสองหนุ่มสาวหรือความรักในวิถีของการดื่มกิน เราคงต้องกล่าว Grazie ประเทศอิตาลี ที่นำพาเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้เกิดขึ้น