ยอดคำสั่งซื้ออาวุธและสินค้ากลาโหมจากกลุ่มบริษัทค้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกเฉียดระดับสูงเป็นประวัติการณ์ หลังเติบโตขึ้นกว่า 10% ในเวลาเพียง 2 ปี เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่พุ่งสูงขึ้น อาทิ ความขัดแย้งในยูเครน
ทั้งนี้ Financial Times ได้วิเคราะห์บริษัทค้าอาวุธ 15 ราย รวมถึง BAE Systems ของอังกฤษ และ Hanwha Aerospace ของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้รับจ้างผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ พบว่า ณ สิ้นปี 2022 ยอดสั่งซื้อคั่งค้างรวมกันอยู่ที่ 7.776 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 7.012 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีก่อนหน้า
กระแสโหมซื้ออาวุธดังกล่าวดำเนินมาจนถึงปี 2023 โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ยอดคำสั่งซื้อคั่งค้างรวมกันของบริษัทเหล่านี้อยู่ที่ 7.64 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งการเดินหน้าสั่งซื้ออาวุธอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลประเทศต่างๆ ทำให้บริษัทค้าอาวุธเหล่านี้มีงานหนักรออยู่เบื้องหน้า เพื่อผลิตอาวุธส่งมอบตามกำหนดเวลา
ยอดการใช้จ่ายก้อนโตแบบต่อเนื่องนี้หนุนให้เหล่านักลงทุนหันมาสนใจหุ้นกลุ่มกลาโหม โดยดัชนีหุ้นกลุ่มกลาโหมระดับโลกของ MSCI ปรับตัวขึ้น 25% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นกลุ่มการบินและกลาโหมบนดัชนี STOXX ของยุโรป พุ่งขึ้นกว่า 50% ในช่วงเวลาเดียวกัน
หุ้นที่ปรับตัวขึ้นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนยังมองว่ารัฐบาลต่างๆ จะยังเดินหน้าใช้จ่ายด้านกลาโหมต่อไป ล่าสุดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ลงนามในกฎหมายนโยบายกลาโหมฉบับใหม่เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ซึ่งให้อำนาจในการใช้จ่ายทางทหารเป็นประวัติการณ์ถึง 8.86 แสนล้านดอลลาร์
สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (The Stockholm International Peace Research Institute: SIPRI) ระบุว่า การใช้จ่ายด้านการทหารทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3.7% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.24 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2022
ค่าใช้จ่ายทางการทหารรายปีในยุโรปเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบอย่างน้อย 30 ปี เนื่องจากรัฐบาลในภูมิภาคนี้ประกาศคำสั่งซื้อกระสุนและรถถังใหม่ เพื่อเติมเต็มคลังของประเทศที่หมดลงจากการบริจาคไปยังยูเครน
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มกลาโหมและอาวุธยังได้รับอานิสงส์บวกจากกระแสการควบรวมของบริษัทในช่วงไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา เช่น ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ TransDigm Group ประกาศซื้อธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ Communications & Power Industries เนื่องจากเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ตลาดการบินการป้องกันและอวกาศเป็นหลัก
หรือในเดือนตุลาคม Teledyne Technologies ที่ได้เข้าซื้อกิจการ Xena Networks ApS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านการตรวจสอบอีเทอร์เน็ตเทระบิตความเร็วสูง เป็นต้น ซึ่งการควบรวมเหล่านี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมมีความแข็งแกร่ง และทำให้กิจการมีความประหยัดต่อขนาดมากขึ้น
Aparajita Dutta นักวิเคราะห์จาก Zachs ได้เขียนโพสต์บนเว็บไซต์ของ Nasdaq ว่า หุ้นกลุ่มค้าอาวุธจะทำผลงานได้ดีต่อไปในปี 2024 จากปัจจัยการใช้จ่ายทางกลาโหมที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกและกระแสการควบรวมของบริษัทค้าอาวุธในช่วงเวลานี้ และได้เลือก 5 หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น Archer Aviation (ACHR), AeroVironment (AVAV), Rolls-Royce (RYCEY), TransDigm Group (TDG) และ Triumph Group (TGI)
แม้จะได้รับคำสั่งซื้อใหม่มากขึ้น แต่บริษัทค้าอาวุธในยุโรปและสหรัฐฯ หลายแห่งยังคงประสบกับปัญหาการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนแรงงานอย่างเฉียบพลัน
การวิเคราะห์โดย SIPRI พบว่า รายได้ของบริษัทค้าอาวุธที่ใหญ่ที่สุด 100 แห่ง มาจากการขายอาวุธและการทหารที่มีมูลค่ารวม 5.97 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2022 ซึ่งน้อยกว่าในปี 2021 ที่ 3.5% แม้ว่าจะมีความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม
อ้างอิง: