×

ธปท. สกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทได้ผล ต่างชาติขายตราสารหนี้กว่า 20,000 ล้านบาท, ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐฯ-ยุโรปลดต่อเนื่อง บ่งชี้อุตสาหกรรมทั่วโลกยังน่าห่วง: 5 ปัจจัยที่นักลงทุนต้องรู้ (25 ก.ค. 2562)

โดย FINNOMENA
25.07.2019
  • LOADING...
FINNOMENA
  • จับตาท่าทีธนาคารกลางยุโรป โดยวันนี้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะตัดสินใจด้านนโยบายการเงินที่สำคัญ 3 เรื่อง ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่นักลงทุนคาดหวังว่าจะปรับลดลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงท่าทีต่อการกลับมาใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ เพื่อซื้อสินทรัพย์ของสหภาพยุโรป หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ระดับ 2% และรายละเอียดของวงเงิน TLTRO-III ที่ถูกคาดหวังว่าจะเริ่มใช้ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การประชุมและแถลงการณ์ในวันนี้จะยังเป็นการส่งสัญญาณ Dovish เบื้องต้น เพื่อเตรียมความพร้อมของตลาด ก่อนที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจริงในช่วงเดือนกันยายน พร้อมกับการเริ่มมาตรการ TLTRO-III 

 

  • มาตรการ ธปท. เอาอยู่ ต่างชาติขายตราสารหนี้กว่า 20,000 ล้านบาท โดยหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วยการปรับลดเกณฑ์คงค้าง ณ สิ้นวันทำการของบัญชีเงินฝากสกุลเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยนอกประเทศ (NR) ลงมาอยู่ที่ 200 ล้านบาทต่อวัน จากเดิมไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อวัน พร้อมยกระดับการติดตามข้อมูลเชิงลึกของผู้ลงทุน โดยสำรวจดูไปถึงผู้ที่รับผลประโยชน์แท้จริง ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงกว่า 1% นับตั้งแต่วันดังกล่าว สู่ระดับอ่อนค่าสุดที่ 30.95 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงเทขายตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง ยอดรวม 22,074 ล้านบาท โดยมียอดขายสุทธิสูงสุดภายในวันเดียวถึง 8,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ยังกังวลว่า หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจส่งผลให้มีเงินลงทุนกลับเข้าไทย จากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงกว่า

 

  • คาบสมุทรเกาหลีตึงเครียดอีกครั้ง โดยเกาหลีใต้และสำนักข่าวสหรัฐฯ รายงานว่า เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธไม่ทราบชนิดจำนวน 2 ลูก ระยะทาง 430 กิโลเมตร ตกลงยังนอกชายฝั่งตะวันออกของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งการยิงขีปนาวุธครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การพบกันของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เกาหลีเหนือมีท่าทีประนีประนอม และส่งสัญญาณว่าจะปลดอาวุธนิวเคลียร์ก่อนหน้านี้

 

  • กระทรวงการคลังจีนเผย ครึ่งปีแรกรัฐวิสาหกิจ (SOEs) มีรายได้แตะระดับ 29.5 ล้านล้านหยวน ขยายตัว 7.8% เทียบรายปี (YoY) สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับกำไรที่ขยายตัวต่อเนื่องขึ้นสู่ระดับ 1.82 ล้านล้านหยวน ขยายตัว 7.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ภาระหนี้ขยายตัว 8.8% สู่ระดับ 125.8 ล้านล้านหยวน คู่กับสินทรัพย์ที่ขยายตัว 8.9% (YoY) สู่ระดับ 195 ล้านล้านหยวน ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 64.5% ทั้งหมดนี้สะท้อนการลงทุนและการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนที่มีมากขึ้น

 

  • อุตสาหกรรมทั่วโลกยังน่าเป็นห่วง หลังดัชนี Manufacturing PMI สหรัฐฯ และยุโรปลดลงต่อเนื่อง โดยวานนี้ IHS Markit รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อทั้งภาคอุตสาหกรรมของสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาด และลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสหรัฐฯ อยู่ที่ 50.0 จุด ต่ำกว่าคาดที่ 51.0 จุด และลดลงต่อเนื่องจากครั้งก่อนหน้าที่ 50.6 จุด ขณะที่สหภาพยุโรป ดัชนีที่ 46.4 จุด ต่ำกว่าคาดที่ 47.6 จุด และลดลงต่อเนื่องจากครั้งก่อนหน้าที่ 47.6 จุด สะท้อนภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มหดตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ที่ลดลงแตะระดับ 50.0 จุดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ IHS Markit จัดทำดัชนีดังกล่าวมา ซึ่งเป็นผลมาจากกรณีความยืดเยื้อของสงครามการค้าที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจชะลอตัวที่อาจเกิดขึ้นทั่วโลก และ ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศที่มีมากขึ้นตามภูมิภาคต่างๆ

 

สภาวะตลาดวานนี้

  • ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวในทิศทางผสมผสาน โดยนักลงทุนยังคงรอประเด็นข่าวสำคัญ ทั้งนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed), และธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง โดยดัชนี Nasdaq ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่อย่าง Facebook ซึ่งผลประกอบการออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones ปรับตัวลงจากหลัง Caterpillar ประกาศผลประกอบการออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่วนตลาดหุ้นอินเดียน่าเป็นห่วง หลังดัชนี BSE Sensex ปรับตัวลงแล้วมากกว่า -5% ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม โดยหลุดกรอบแนวรับสำคัญที่ 38,500 จุด ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม หลังนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นอินเดียสุทธิ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.66 หมื่นล้านบาท สืบเนื่องจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดียเติบโตน้อยกว่าคาด และมีแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในอินเดีย หลังรัฐบาลเตรียมลดค่าใช้จ่ายลง ขณะเดียวกันก็กำลังพิจารณาการปรับขึ้นภาษีรายได้กลุ่ม Super Rich ซึ่งมีแนวโน้มกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติที่ไม่ใช่กลุ่มสถาบันที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย

 

ยุโรป

  • STOXX600 ปิดที่ 391.74 เพิ่มขึ้น 0.20 (+0.05%)
  • DAX ปิดที่ 12,522.89 เพิ่มขึ้น 32.15 (+0.26%)
  • FTSE 100 ปิดที่ 7,501.46 ลดลง 55.40 (-0.73%)
  • FTSE MIB ปิดที่ 22,080.32 เพิ่มขึ้น 125.66 (+0.57%)

 

เอเชีย

  • S&P/ASX 200 ปิดที่ 6,776.70 ลดลง 33.40 (-0.14%)
  • KOSPI ปิดที่ 2,082.30 ลดลง 19.15 (-0.91%)
  • Shanghai ปิดที่ 2,923.28 เพิ่มขึ้น 23.33 (+0.80%)
  • Hang Seng ปิดที่ 28,524.04 เพิ่มขึ้น 57.56 (+0.20%)
  • BSE Sensex ปิดที่ 37,847.65 ลดลง 135.09 (-0.36%)
  • Nikkei ปิดที่ 21,709.57 เพิ่มขึ้น 88.69 (+0.41%)
  • SET ปิดที่ 1,725.44 เพิ่มขึ้น 0.57 (+0.03%)

 

อเมริกา

  • DOW30 ปิดที่ 27,269.97 เพิ่มขึ้น 79.22 (-0.29%)
  • S&P 500 ปิดที่ 3,019.56 เพิ่มขึ้น 14.09 (+0.47%)
  • NASDAQ ปิดที่ 8,321.50 เพิ่มขึ้น 70.10 (+0.85%)

 

Commodities

  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 55.88 ดอลลาร์/บาร์เรล         
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 65 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 63.18 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 1.9 ดอลลาร์ หรือ 0.13% ปิดที่ 1,423.6 ดอลลาร์/ออนซ์

finnomena in partnership

ภาพ: Shutter Stock

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง: 

  • Infoquest
  • Bloomberg
  • Investing
  • กรุงเทพธุรกิจ
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising