×

‘แง่งามของความตาย’ สิ่งที่เรียนรู้ได้ผ่านภาพยนตร์ About Time, Up, Departures และ Hachi

10.10.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • Departures กำลังสื่อสารกับผู้ชมว่า ‘ความตาย’ นั้นเป็นเรื่องแสนธรรมดา มันวนเวียนอยู่คู่กับชีวิตเราทุกคนอย่างหลีกหนีไม่พ้น ด้วยเหตุนี้ ถ้าจะบอกว่า ‘ความตาย’ เป็นหนึ่งในความงดงามของชีวิตก็ไม่ใช่สิ่งที่เอ่ยอ้างเกินจริงเลย
  • เรื่องราวความผูกพันระหว่างมนุษย์และสุนัขใน Hachi: A Dog’s Tale นั้นแสนเรียบง่าย แต่ระหว่างทางมันก็ทำให้ผู้ชมได้ทั้งความสุข ซึ้ง สะเทือนใจ แฝงไว้ด้วยความโรแมนติกซึ่งปะปนอยู่ในแง่มุม ‘ความตาย’ ของหนึ่งชีวิตที่ยังอยู่ และอีกหนึ่งชีวิตที่หมดลมหายใจไปแล้ว
  • ใน About Time การพบกันครั้งสุดท้ายนี่เองที่ ‘พ่อ’ ได้บอกเคล็ดลับสำคัญเกี่ยวกับ ‘ความสุข’ ให้กับทิม มันคือมุมมองที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและสวยงามในแต่ละวันของชีวิต เพราะท้ายที่สุดแล้วการย้อนเวลาอาจจะไม่ใช่เรื่องพิเศษ ถ้าแต่ละวันที่มีชีวิตเราใช้มันอย่างคุ้มค่า และเรียนรู้ที่จะมองหาแง่งามจากสิ่งต่างๆ รอบตัว

     ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนรอบข้าง แต่ใครบ้างอยากเข้าใกล้ ‘ความตาย’ คงไม่มี… ในเมื่อหลีกหนีอย่างไรก็ไม่พ้น หรือหนทางที่แท้คือมองหาแง่งามจากเรื่องราวความตาย ถ้าเชื่อว่า ‘ดูหนังดูละครแล้วให้ย้อนมองดูชีวิต’ โลกภาพยนตร์เองก็น่าจะเป็นอีกหนึ่ง ‘บทเรียน’ ที่ทำให้เราได้มองเห็น ‘แง่งามของความตาย’ ได้อย่างแยบยลและไม่มีรสขมจนเกินไป…

     ในเดือนที่เต็มไปด้วยความเศร้าและการสูญเสีย THE STANDARD คัดสรรภาพยนตร์ชั้นดีมาฝากคนอ่านให้ได้สัมผัสถึงแง่งามแห่งความตายได้ง่ายขึ้นอีกสักนิด…

 

 

About Time (2013)  

     ต้องมีสักครั้งในชีวิตเราแน่ๆ ที่เมื่อนึกย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เฉิ่มๆ ในอดีตแล้วอดคิดฟุ้งขึ้นมาไม่ได้ว่า ‘ถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำได้ก็คงดี’

      เรื่องราวใน About Time หนังโรแมนติกคอเมดี้สุดอบอุ่นของ ริชาร์ด เคอร์ติส (Love Actually, Notting Hill) เองก็เริ่มต้นดึงดูดความสนใจเราจากตรงนั้น แต่เมื่อติดตามต่อไป หนังกลับทิ้งแง่งามและสาระบางอย่างให้กับคนดูหนัง โดยเฉพาะเรื่องราวด้านบวกเกี่ยวกับการใช้ชีวิต

     About Time เล่าถึงชีวิตหลังผ่านวัย 21 ปีของ ทิม เลก (โดห์นัลล์ กลีสัน) เมื่อเขาได้ฟังเรื่องลับที่เชื่อยากสุดๆ จากปากพ่อ (บิลล์ ไนฮีย์) ว่าผู้ชายทุกคนในตระกูลนั้นมีความสามารถพิเศษที่สามารถย้อนกลับไปในแต่ละช่วงเวลาที่เคยเกิดขึ้นแล้วในชีวิตได้

     หลังจากได้รู้ความสามารถพิเศษของตัวเอง ทิมก็ตัดสินใจว่าจะทำให้ชีวิตสวยงามขึ้นด้วยการหาแฟนสักคน ชีวิตดำเนินต่อไปจนกระทั่งเขาพบรักกับ แมรี่ (ราเชล แม็กอดัมส์) ทั้งคู่ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ แต่งงาน สร้างครอบครัว และมีลูก แต่ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ เรื่องดีและร้ายสลับหมุนเวียนผ่านเข้ามาทดสอบจิตใจเราเสมอ โดยเฉพาะข่าวร้ายครั้งล่าสุด เมื่อเขารู้ว่าพ่อกำลังจะเสียชีวิต แถมยังเป็นการจากไปในแบบที่ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปหามันได้อีก

     การพบกันครั้งสุดท้ายนี้เองที่ ‘พ่อ’ ได้บอกเคล็ดลับสำคัญเกี่ยวกับ ‘ความสุข’ ให้กับทิม มันคือมุมมองที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและสวยงามในแต่ละวันของชีวิต เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความตายอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าแต่ละวันที่มีชีวิตเราใช้มันอย่างคุ้มค่า และเรียนรู้ที่จะมองหาแง่งามจากสิ่งต่างๆ รอบตัว

     เช่นเดียวกับทิม เมื่อถึงวันหนึ่งเขาเองก็ได้ค้นพบเช่นเดียวกันว่า ที่สุดแล้วการย้อนเวลาอาจจะไม่ได้เป็นพลังสุดพิเศษอีกต่อไป เฉกเช่นคำที่ท่านพุทธทาสภิกขุเคยกล่าวไว้ “มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า และวันหลัง”

 

 

     “ท้ายที่สุด ผมได้เรียนรู้บทเรียนสุดท้ายจากการเดินทางข้ามเวลา ผมได้ก้าวไปไกลกว่าที่พ่อเคยไป ความจริงคือตอนนี้ผมไม่ได้เดินทางย้อนอดีตอีกเลย ไม่มีสักวัน ผมพยายามใช้ชีวิตทุกวันราวกับผมได้ย้อนกลับมาแก้มันแล้ว เพื่อมีความสุขกับมัน ราวกับมันเป็นวันสุดท้ายที่สมบูรณ์ในชีวิตธรรมดาๆ แสนพิเศษของผม” – ทิม เลก

 

——————

 

 

Departures (2008)

     สำหรับผู้สิ้นลมหายใจ ประเพณีโบราณเกี่ยวกับ ‘การจัดการศพ’ แบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘โนคังฉิ’ นั้นเต็มไปด้วยความประณีต เอาใจใส่ มันเป็นการสื่อสารครั้งสุดท้ายของผู้ยังมีชีวิตที่อยากจะมอบความงดงามเพื่อเป็นความภาคภูมิใจสุดท้าย ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณจะออกเดินทางไปสู่สถานีใหม่ของชีวิต   

     Departures เล่าเรื่องราวในชีวิตของ โคบายาชิ ไดโกะ นักเชลโลมืออาชีพในวงออร์เคสตราที่อยู่ๆ วงดนตรีของเขาถูกต้องยุบลง แน่นอนว่าสำหรับคนมีครอบครัว นี่ถือเป็นวิกฤตครั้งใหญ่

     ที่สุดไดโกะตัดสินใจย้ายออกจากโตเกียวแล้วหวนกลับไปตั้งต้นชีวิตที่ยามางาตะ ‘บ้านเกิด’ พร้อมภรรยา และได้เริ่มต้นอาชีพใหม่ (แบบไม่ตั้งใจ) ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นอาชีพที่แสนจะไม่ธรรมดา แถมยังไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้คนรอบข้าง อาชีพใหม่ของเขาคือ ‘โนคังฉิ’

 

 

     หน้าที่ของโนคังฉิ หรือคนจัดการศพ จะเริ่มต้นจากการทำความสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า ไปจนถึงการบรรจุลงโลง ทุกขั้นตอนจะผ่านการปฏิบัติต่อศพอย่างประณีตงดงามเพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย

     จากจุดเริ่มต้นงานใหม่แบบไม่ค่อยเต็มอกเต็มใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การได้พบเจอกับร่างไร้วิญญาณและเครือญาติที่ยังมีชีวิตในแต่ละครั้งกลับทำให้ไดโกะค่อยๆ เปลี่ยนทัศนคติที่เขามีต่องานใหม่ มากไปกว่านั้น การเป็นโนคังฉิยังช่วยสอนบทเรียนชีวิตครั้งสำคัญที่ทำให้ทั้งเขาและภรรยาได้มองโลกในมุมที่เปลี่ยนไป  

     ‘ความตาย’ นั้นเป็นสถานีที่หลีกหนีไม่พ้นและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน วันนี้พบ อีกวันอาจจาก ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ฉะนั้นสำหรับผู้ที่ยังมีลมหายใจ การมอบความรู้สึกดีๆ ต่อกันเมื่อยังมีชีวิตนั้นย่อมดีที่สุด เช่นเดียวกับเมื่อยามหมดลมหายใจ การส่งมอบความรู้สึกที่ดีให้กับร่างไร้วิญญาณนั้นก็ถือได้ว่าเป็นความงดงามในฐานะมนุษย์

     สิ่งที่ Departures กำลังสื่อสารกับผู้ชมคือ ‘ความตาย’ นั้นเป็นเรื่องแสนธรรมดา มันวนเวียนอยู่คู่กับชีวิตเราทุกคนอย่างหลีกหนีไม่พ้น และถ้าจะบอกว่า ‘ความตาย’ นั้นเป็นหนึ่งในความงดงามของชีวิตก็ไม่ใช่สิ่งที่เอ่ยอ้างเกินจริงเลย

 

 

     “ความตายก็เหมือนเป็นประตู ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด เราแค่ก้าวผ่านมันไป เพื่อไปสู่อีกที่หนึ่ง ในฐานะที่ฉันเป็นยามเฝ้าประตู ฉันได้ส่งคนมากมายให้ออกเดินทาง ไปดีมาดีนะ แล้วเจอกันอีก ฉันบอกพวกเขาอย่างนั้น” – โชคิจิ ฮิราตะ ผู้ประกอบพิธีเผาศพ

 

     “เมียฉันเขาตายไปได้ 9 ปีแล้ว คู่ผัวเมียน่ะต้องมีคนใดคนหนึ่งตายก่อน คนยังอยู่นี่สิลำบาก ฉันแต่งให้เขาดูสวยที่สุด แล้วก็ส่งเขาไป…” – เซน ซาซากิ ประธานบริษัท NK Agent

 

——————

 

 

Up (2009)

     ยิ่งผ่านชีวิต เราต่างก็เต็มไปด้วย ‘สิ่งทรงจำ’ ที่อยากจะเก็บไว้แก้คิดถึง แต่บางทีการปล่อยวางแล้วเหลือทิ้งไว้แต่ความทรงจำที่งดงามอาจจะมีค่าเพียงพอแล้ว สำหรับการจะมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่จากไป

     ไม่ต่างกับเรื่องราวใน Up ที่พาไปทำความรู้จักกับ ‘ปู่คาร์ล’ คาร์ล เฟรดริกเซน อดีตพ่อค้าขายลูกโป่งในวัย 78 ปีที่ทั้งขี้โมโหและเก็บตัว แต่เบื้องหลังความวายป่วงของตาแก่หวงบ้านกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายความทรงจำที่ทั้งสุข เศร้า แสนโรแมนติกระหว่างเขาและ ‘เอลลี่’ ภรรยาที่ล่วงลับไปแล้ว แต่นั่นก็ทำให้ปู่คาร์ลยึดติดอยู่กับ ‘บ้านสีรุ้ง’ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำหอมหวาน

 

 

     หนึ่งในนั้นคือสมุดบันทึกความฝันที่เอลลี่และเขาเคยวาดฝันไว้ว่าอยากไปให้ถึง ‘Paradise Falls’ น้ำตกแห่งสรวงสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นจะรอช้าอยู่ทำไม! การผจญภัยครั้งสุดท้ายด้วยการหอบหิ้วบ้านสุดหวงไปพร้อมกับพวงลูกโป่งสวรรค์นับพันนับหมื่นจึงเริ่มต้นขึ้น และการเดินทางครั้งใหม่นี้เองที่นำพามาซึ่งมิตรภาพต่างวัยและบทเรียนชีวิตในวัยชราของปู่คาร์ลให้รู้จักปล่อยวางกับสิ่งที่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

 

 

     บ้านสีรุ้งเต็มไปด้วยความทรงจำ แต่บางทีการ ‘มีอยู่’ ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับความรู้สึกที่จะคงอยู่กับเราตลอดไป

 

 

——————

 

 

Hachi: A Dog’s Tale (2009)

     Hachi: A Dog’s Tale ดัดแปลงมาจากเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงของสุนัขพันธุ์อากิตะชื่อ ฮาชิโกะ ที่กิจวัตรในทุกวันของมันคือการมารอรับ ฮิเดะซาบุโร อุเอโนะ ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการเกษตรกรรมแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว เจ้านายของมันที่สถานีรถไฟชิบุยะเพื่อกลับบ้านด้วยกันทุกวัน

     กระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน ศาสตราจารย์อุเอโนะได้เสียชีวิตจากภาวะเลือดออกในสมอง แน่นอนว่านั่นทำให้เขาไม่ได้เดินทางกลับไปที่สถานีรถไฟเหมือนทุกวัน และคงจะตลอดไป แต่ด้วยความไม่รู้? ฮาชิโกะยังคงมานั่งรอคอยเจ้านายของมันอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟทุกวันเป็นเวลานานกว่า 9 ปี กระทั่งมันเสียชีวิตลงในปี 1935 ที่สุดวีรกรรมความซื่อสัตย์และจงรักภักดีของมันกลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วประเทศ

     เช่นเดียวกับภาพยนตร์ฉบับฮอลลีวูด เพียงแต่เรื่องราวเปลี่ยนผ่านจากเกาะญี่ปุ่นย่านชิบุยะมายังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในอเมริกา เมื่ออาจารย์ปาร์กเกอร์ (ริชาร์ด เกียร์) ได้พบกับลูกสุนัขพันธุ์อากิตะโดยบังเอิญที่สถานีรถไฟ และตัดสินใจรับเลี้ยงมันไว้ในที่สุด

 

 

     หลังจากนั้นแทบทุกวัน ปาร์กเกอร์จะต้องเดินทางไปสอนที่มหาวิทยาลัยด้วยรถไฟ ซึ่งภาพที่เพื่อนบ้านและชาวเมืองคุ้นตาคือทุกเช้า ‘ฮาชิ’ จะเดินตามไปส่งเจ้านายของมันขึ้นรถไฟ และเมื่อตกเย็นฮาชิจะมารอรับปาร์กเกอร์ที่สถานีเพื่อเดินกลับบ้านไปพร้อมกัน… แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตฮาชิก็เกิดขึ้น เมื่อปาร์กเกอร์เสียชีวิตกะทันหันในระหว่างชั่วโมงเรียน ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจะไม่ได้กลับมาที่สถานีรถไฟอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นฮาชิก็ยังคงไปนั่งรอปาร์กเกอร์ที่สถานีรถไฟ วันแล้ววันเล่า รถไฟเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า จากเช้าจรดค่ำเป็นเวลานานกว่า 10 ปี กระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งช่วงชีวิตของตัวมันเอง

     ความตายนั้นพรากปาร์กเกอร์ไปจากฮาชิแล้ว แต่ดูเหมือนช่วงเวลาตลอด 10 ปีจะพรากความรู้สึกรักและภักดีที่มันมีต่อปาร์กเกอร์ไปไม่ได้

     เรื่องราวความผูกพันระหว่างมนุษย์และสุนัขใน Hachi: A Dog’s Tale นั้นแสนเรียบง่าย แต่ระหว่างทางมันก็ทำให้ผู้ชมได้ทั้งความสุข ซึ้ง สะเทือนใจ ซึ่งจะว่าไปมันกลับแฝงไว้ด้วยความโรแมนติกปะปนอยู่ในแง่มุมของ ‘ความตาย’ ด้วยเช่นกัน  

 

 

     “ฮาชิ เพื่อนของฉัน ปาร์กเกอร์เขาจะไม่กลับมาแล้ว แต่ถ้าแกยังอยากจะรอ… งั้นแกก็รอเถอะ แกอยากจะรอเขาใช่ไหม… แล้วแกจะรออีกนานเท่าไรล่ะฮาชิ” – เคน เพื่อนสนิทของปาร์กเกอร์    

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising