เวลาเหลือน้อยลงทุกที สถานการณ์ในเวลานั้นของอาร์เจนตินาเข้าขั้นวิกฤต เมื่อคีเลียน เอ็มบัปเป้ ได้โอกาส 2 ครั้งและสามารถเปลี่ยนมันเป็นประตูได้ทั้ง 2 ครั้ง ทำให้จากตามหลัง 1-2 ฝรั่งเศสกลับมานำอีกครั้งด้วยสกอร์ 4-2
สีหน้า แววตา และอารมณ์ของลิโอเนล เมสซี ไม่แตกต่างจากในสองเกมแรกที่น่าผิดหวังกับไอซ์แลนด์และโครเอเชีย มันบ่งบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้วในสถานการณ์นี้
มันอาจจะดูไม่ดีนักสำหรับคนที่เป็นเจ้าของปลอกแขนกัปตันทีม ผู้ที่ควรจะไม่ยอมถอดใจอะไรง่ายๆ และควรเป็นคนแรกที่ปลุกเร้าให้ทีมกลับมาให้ได้ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่
แต่สำหรับเมสซี เขาอาจจะแบกรับทุกอย่างมานานเกินไปจนแทบไม่เหลือแรงใจจะต่อสู้แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาคือการตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้เล่นสำรองลงสนามของฮอร์เก ซามเปาลี และมันเป็นการตัดสินใจที่แทบไม่มีใครอยากเชื่อสายตา
เมื่อคนที่ได้ลงสนามไม่ใช่กอนซาโล อิกวาอิน ศูนย์หน้าผู้มากประสบการณ์ และยิ่งไม่ใช่เปาโล ดีบาลา นักเตะดาวรุ่งพรสวรรค์สูงสุดของกลุ่มสายเลือดใหม่ แต่กลับเป็นมักซิมิลิอาโน เมซา นักเตะที่ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดในทีมอาร์เจนตินาชุดนี้
ในความเห็นใจต่อเมซา เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เมื่อโค้ชส่งให้ลงสนามย่อมไม่สามารถปฏิเสธได้ แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของเขาอีกเช่นกันที่จะเล่นไม่ได้เรื่อง เพราะตลอดชีวิตเขาเล่นให้กับเพียงแค่สองสโมสรคือยิมนาเซียและอินดิเพนเดียนเตในบ้านเกิด และไม่เคยมีประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลยุโรปมาก่อน
เมซา กองกลางวัย 26 ปี เพิ่งจะได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม และเกมประเดิมสนามของเขานั้นเลวร้ายเหนือจินตนาการเมื่อพ่ายแพ้ต่อสเปนขาดลอยถึง 6-1
แต่ในเกมนั้น ฮอร์เก วัลดาโน อดีตขุนพลในชุดแชมป์โลกปี 1986 กลับประทับใจกับฟอร์มการเล่นของเมซา โดยกล่าวหลังจบเกมว่า “ผมประทับใจมาก เด็กคนนี้พร้อมจะเล่นให้กับสโมสรใหญ่ๆ ในสเปนได้ทุกทีม
“ถ้าเมซาสามารถรักษาระดับการเล่นเอาไว้ได้ นี่จะถือเป็นการค้นพบครั้งสำคัญของอาร์เจนตินาเลย”
ขณะที่ฮอร์เก บูร์รูชากา ขุนพลข้างกายเทพเจ้าลูกหนัง ดิเอโก มาราโดนา และเป็นคนสำคัญในสมาคมฟุตบอลอาร์เจนตินา พูดถึงเมซาว่า “เขาได้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจเกมการเล่นในระดับที่สูงขึ้น นี่คือนักเตะที่ผ่านช่วงเวลาที่ดีมา”
มีความสร้างสรรค์ เฉียบขาด และสารพัดประโยชน์ คือ 3 คุณสมบัติที่ The Guardian เขียนแนะนำเมซาไว้ในการพรีวิวก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น
น่าเสียดายที่มันผิดทั้งหมด เขาไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ไม่มีประสบการณ์มากพอ และช่วยอะไรใครไม่ได้เลย
บ้างก็พูดกันหนักข้อว่าเมซาไม่มีหน้าที่อะไรในสนามมากไปกว่าการลงไปยืนให้ครบ 11 คน และทุ่มลูกเข้าสนามในบางครั้ง
อย่างไรก็ดี เขาไม่ใช่คนที่ขอลงสนาม หากแต่เป็นซามเปาลีต่างหากที่เลือกเขาลง
และเมซาก็ไม่ใช่การตัดสินใจเดียวที่ขัดความรู้สึกของแฟนบอลอาร์เจนไตน์ หากแต่ยังมีการตัดสินใจอีกมากมายที่ไม่มีใครเข้าใจว่าอดีตโค้ชผู้เคยพาชิลีเป็นแชมป์โคปา อเมริกา ด้วยการพิชิตอาร์เจนตินานั้นคิดอะไรอยู่
หลังความพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศส ทีมที่ดีกว่า หนุ่มกว่า และเหนือกว่าในทุกด้าน ซามเปาลีกล่าวถึงผลงานของตัวเองโดยหยิบเอาลิโอเนล เมสซี มาเป็นเกราะกำบังด้วยการบอกว่า เขาได้พยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อทำให้เมสซีเล่นได้ดีที่สุดแล้ว
“เราได้มีการทดลองแท็กติกการเล่นที่หลากหลายอยู่รอบกายเขา สร้างพื้นที่ให้เขา เราพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้วเพื่อที่จะทำให้เขาทำในสิ่งที่เขาทำได้”
คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรจากการโยนความผิดให้กับ เมสซีที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่เขาควรทำได้
และมันเป็นคำพูดที่แฟนบอลอาร์เจนตินารับไม่ได้
กระแสโต้ตอบกลับคำพูดของซามเปาลีในโลกออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยความดุเดือด หลักใหญ่ใจความที่ทุกคนตอบโต้คือซามเปาลีไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย และเขาก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่สมควรทำที่สุดอย่างการส่งผู้เล่นที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือกัปตันทีม – คนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นรองเพียงแต่มาราโดนาคนเดียวเท่านั้น
สิ่งที่แฟนบอลได้เห็นคือเมสซีที่ถูกทอดทิ้งอย่างโดดเดี่ยว พยายามที่จะคิดและทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่มันยากและเหนื่อยใจเกินไป
เหนืออื่นใดคือ ซามเปาลีกลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกที่ไปฝากทุกอย่างไว้กับเมสซีเพียงคนเดียว
เพราะฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม และโดยธรรมชาติแล้ว เมสซีไม่ใช่ผู้เล่นในแบบ one-man show แต่เป็นผู้เล่นในแบบ team player ที่จะเปล่งประกายออกมาต่อเมื่อมีเพื่อนร่วมทีมที่ดีพอคอยสนับสนุนอยู่เคียงข้าง
เรื่องนี้เป็นบทเรียนจากเกมลูกหนังที่สอนเราทุกคนได้เป็นอย่างดีว่า เรื่องของวิสัยทัศน์ ความสามารถในการบริหารจัดการ และความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองมีของ ‘ผู้นำ’ นั้นสำคัญขนาดไหน
ถ้ามีผู้นำที่ดี ต่อให้ทรัพยากรไม่ดี อย่างน้อยก็ยังสามารถหาทางใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
แต่ถ้าผู้นำไม่ดี ก็ ‘ซามเปาลี’ อย่างที่เห็นครับ
สำหรับเมสซี สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้และได้ทำในเกมกับฝรั่งเศสคือการเปิดบอลด้วยน้ำหนักที่สมบูรณ์แบบให้เซร์คิโอ อเกวโร โหม่งทำประตูตีตื้นขึ้นมาเป็น 4-3
ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น
ที่เหลือคือการส่งต่อวันเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ให้แก่ ‘Un Phénomène’ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่วันนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีความสามารถพอที่จะแบกรับยุคสมัยของเกมลูกหนังต่อจากเมสซีและคริสเตียโน โรนัลโด
ขณะที่แม้โรนัลโดจะต้องกระเด็นตกรอบไปในวันเดียวกันกับคู่ปรับตลอดชีวิตของเขา โดยที่ตลอดทั้งเกมก็แทบไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก เพราะอุรุกวัยนั้นวางแผนมาเป็นอย่างดี สามารถหยุดไม่ให้เขาสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในสนามได้อีก พร้อมกับมีทีเด็ดทีขาดจากสองตัวรุกระดับเวิลด์คลาสอย่างหลุยส์ ซัวเรซ และเอดินสัน คาวานี
แต่สิ่งสุดท้ายที่โรนัลโดได้ทิ้งไว้ในฟุตบอลโลกหนนี้คือสัญลักษณ์ของ ‘น้ำใจนักกีฬา’ ที่งดงาม
ภาพการประคองคาวานี คู่แข่งที่เกิดบาดเจ็บหลังเพิ่งจะทำประตูสำคัญให้อุรุกวัยขึ้นนำโปรตุเกสอีกครั้งไปส่งที่ข้างสนามนั้นสร้างความประทับใจให้แก่แฟนฟุตบอลทั่วโลก
อีโก้และความอหังการของ CR7 อาจทำให้ใครหลายคนหมั่นไส้
แต่น้ำใจและจิตใจที่ดีงามของโรนัลโดไม่ใช่สิ่งที่เราควรมองข้าม เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแสดงให้เห็นถึงอีกด้านที่อ่อนโยน
ก่อนนี้เราเคยได้เห็นโรนัลโดเดินลงจากรถบัสมาเพื่อถ่ายรูปและสวมกอดกับเด็กน้อยที่มาเฝ้ารอเขาอยู่หลายครั้ง และยังอีกหลายเรื่องราวที่ความจริงก็น่าจะรวบรวมเอาไว้ว่า นอกจากความยิ่งใหญ่ของเส้นทางชีวิตลูกหนังแล้ว เขาคือหนึ่งในตัวแทนของนักกีฬาที่ดีของยุคสมัย
อาจจะน่าเสียดายที่ฟุตบอลโลกครั้งนี้ของเมสซีและโรนัลโดได้จบลงแล้วแบบไม่สมหวัง และมันมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเป็นฟุตบอลโลกสมัยสุดท้ายของทั้งสองคน โดยเฉพาะกับเมสซีที่แบกรับทุกอย่างมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนเกินไป
แต่ฟุตบอลโลกนั้นยังอยู่และจะดำเนินต่อไป เพราะจะมีดวงตะวันดวงใหม่ปรากฏตัวขึ้นที่ขอบฟ้าในทุกอรุณรุ่งเสมอ
โดยที่เราย่อมไม่มีวันลืมยอดนักเตะทั้งสอง ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้สัมผัสแชมป์โลกแม้เพียงสักครั้งก็ตาม
Photo: Reuters