ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับขึ้นสู่เกณฑ์ ‘ร้อนแรง’ นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวภาคท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ปัจจัยฉุดคือความไม่แน่นอนของนโยบาย Fed และสถานการณ์โควิด
กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนพฤศจิกายน 2565 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 124.42 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.3% จากเดือนก่อนหน้า ขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ ‘ร้อนแรง’”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการประชุม APEC ที่ไทยเรากำลังจะเป็นเจ้าภาพ
- ประมวลภาพผู้นำนานาประเทศตบเท้าร่วมงาน APEC CEO Summit 2022
- วาทะเด็ดในงาน APEC CEO Summit 2022 วันสุดท้าย
นักลงทุนมองว่าการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และแนวโน้มการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนต่อนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed, รองลงมาคือสถานการณ์โรคระบาดโควิด และการประกาศจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนพฤศจิกายน 2565 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กุมภาพันธ์ 2565) อยู่ในเกณฑ์ ‘ร้อนแรง’ (ช่วงค่าดัชนี 120-159) เพิ่มขึ้น 14.3% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 124.42
- ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลอยู่ในเกณฑ์ ‘ทรงตัว’
- ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ อยู่ในระดับ ‘ร้อนแรง’
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ ความไม่แน่นอนต่อนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed
“ผลสำรวจ ณ เดือนพฤศจิกายน 2565 รายกลุ่มนักลงทุนพบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกนักลงทุนบุคคลปรับลดลง 3.7% อยู่ที่ระดับ 109.2 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 28.6% อยู่ที่ระดับ 142.86 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลดลง 0.5% อยู่ที่ระดับ 129.41 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่ม 40.0% อยู่ที่ระดับ 140.00”
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 SET Index ปรับตัวในกรอบแคบ โดยมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งเป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณชะลอตัว รวมถึงการประกาศตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 4.5% สะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ และแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด โดยเฉพาะในประเทศจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และการที่รัฐบาลประกาศเริ่มเก็บภาษีขายหุ้นในไทยในปี 2566 โดย SET Index ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนปิดที่ 1,635.36 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.7% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในเดือนพฤศจิกายน 2565 กว่า 30,129 ล้านบาท โดยตลอดทั้งปี 2565 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นมูลค่า 184,060 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการการควบคุมสถานการณ์โควิดในประเทศจีน หลังเกิดการประท้วงรุนแรงเพื่อต่อต้านนโยบาย Zero-COVID ที่เข้มงวด อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาที่แม้จะชะลอตัวแต่ยังคงสูงกว่าเป้า ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจของ Fed ในการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ แนวโน้มการเกิด Recession ในภาคเศรษฐกิจยุโรปจากวิกฤตพลังงานและเงินเฟ้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่คลี่คลาย
ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศหลังจบการประชุม APEC ซึ่งอาจมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งในปี 2566 รวมถึงความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ