EXIM BANK มองว่าประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคของโลกเป็นโอกาสของสินค้าไทยและผู้ส่งออกไทย พร้อมคาดว่าส่งออกทั้งปีนี้น่าจะติดลบ 1-2% ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า 3% ขณะที่มูลค่าส่งออกทั้งปี 2566 คาดว่าจะหดตัว 1-2% อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4 ปี 2566 ช่วงโค้งสุดท้ายของปีเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัวแล้ว พร้อมมองว่าประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลกและคาดว่าจะยืดเยื้อต่อไปในปี 2024 จะเป็นอานิสงส์ของสินค้าไทยและภาคส่งออกไทย
“ยิ่งเกิดความขัดแย้ง ไทยยิ่งได้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่นความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีน ก่อนหน้านี้ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์จากการอพยพของโรงงานสหรัฐฯ และยุโรปจากจีนมาไทยค่อนข้างเยอะ ขณะเดียวกัน หลังเกิดสงครามในยูเครนก็ทำให้หลายฝ่ายหันมาซื้อสินค้าจำพวกอาหาร ธัญพืช และสินค้าแปรรูปทางการเกษตรจากไทยแทนยูเครน รัสเซีย และประเทศพันธมิตรของทั้ง 2 ประเทศดังกล่าว ส่วนเหตุความขัดแย้งล่าสุดระหว่างอิสราเอลและฮามาส แม้ไทยยังไม่ได้อานิสงส์ตรงๆ เนื่องจากเป็นสงครามที่ไกลตัว อย่างไรก็ตาม สงครามก็ทำให้สินค้าในภูมิภาคตะวันออกกลางขายได้ยากขึ้น จึงถือเป็นโอกาสในการผลักดันสินค้าไทย เช่น อาหารฮาลาล”
โดยท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและสถานการณ์ความไม่สงบในหลายประเทศ EXIM BANK ยังเร่งเสริมสร้างความมั่นใจและภูมิคุ้มกันความเสี่ยงแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยผ่านบริการประกันการส่งออกและการลงทุน โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 ปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 148,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงาน ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2566 ธนาคารมีสินเชื่อคงค้าง 164,976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,161 ล้านบาท หรือเติบโต 3.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและความเสี่ยงทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 EXIM BANK มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) จำนวน 6,665 ล้านบาท NPL Ratio เพิ่มขึ้นเท่ากับ 4.04% อย่างไรก็ตาม EXIM BANK มีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss: ECL) เพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในอัตราส่วน (Coverage Ratio) เท่ากับ 213.15% อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2566 EXIM BANK มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท และคงได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระดับ AAA (tha) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 และคงอันดับเครดิตสกุลเงินตราต่างประเทศระยะยาวที่ BBB+ เท่ากับประเทศไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 11