×

วิกฤต Evergrande: กรณีศึกษาสำหรับผู้ดำเนินนโยบายไทย

21.09.2021
  • LOADING...
Evergrande

ข่าวใหญ่ในวงการธนาคารกลางเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วคงหนีไม่พ้นการที่ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงิน 9 หมื่นล้านหยวน (1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เข้าสู่ระบบการเงินผ่านธุรกรรมในตลาดซื้อคืนพันธบัตร โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อดูแลไม่ให้เกิดภาวะสภาพคล่องตึงตัวจากข่าวปัญหาฐานะทางการเงินที่ง่อนแง่นของบริษัท China Evergrande

 

Evergrande

 

Evergrande ซึ่งก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีอันดับ 12 ของจีน สวี เจียหยิ่น เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดขายสูงสุดเป็นลำดับสองของจีน มีโครงการกว่า 1,300 โครงการ ใน 280 เมือง และเป็นบริษัทเอกชนที่ได้ชื่อว่ามีหนี้มากที่สุดในโลกที่ 1.97 ล้านล้านหยวน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 10 ล้านล้านบาท หรือมากกว่าหนี้สาธารณะของไทยในปัจจุบันที่ประมาณ 9 ล้านล้านบาทอีก

 

การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางจีน แม้จะช่วยให้ตลาดการเงินจีนสามารถทำหน้าที่ต่อเนื่องเป็นปกติ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือความสามารถในการชำระหนี้ของ Evergrande ซึ่งธุรกิจได้รับผลกระทบจากการลงทุนเกินตัวในช่วงก่อนหน้า และการเข้ามาคุมเข้มความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยธนาคารกลางจีนตั้งแต่ช่วงต้นปี

 

ปัจจุบันอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ Evergrande อยู่ที่ระดับ CC ชี้ถึงความน่าจะเป็นที่สูงมากที่บริษัทจะผิดนัดชำระหนี้ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ไม่นับว่า Evergrande อาจจะผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ไปก่อน ซึ่งคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่ารัฐบาลจีนจะเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างเบ็ดเสร็จอย่างไร เนื่องจาก Evergrande เป็นบริษัทที่เราเรียกว่า บริษัทที่มีความสำคัญต่อระบบ (Systemically Important Corporation) หรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นบริษัทที่ล้มแล้วจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบสถาบันการเงินและ/หรือตลาดทุน

 

Evergrande

 

สำหรับผลกระทบโดยตรงต่อนักลงทุนไทย หาก Evergrande มีการผิดนัดชำระหนี้นั้นมีจำกัดมาก เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทย่ำแย่มาสักพักแล้ว และหุ้นกู้ของ Evergrande ก็มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับ Investment Grade มาหลายปีแล้วเช่นกัน กองทุนรวมของไทยจึงมีการไปลงทุนในหุ้นและหุ้นกู้ของ Evergrande ในมูลค่าที่น้อยมาก อย่างไรก็ดี หากตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของจีนถูกเทขายรุนแรงไปด้วย กองทุนรวมหลายแห่งอาจจะได้รับผลกระทบพอสมควร เพราะจีนเป็นประเทศหลักที่ไทยไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ

 

Evergrande

 

บทเรียนสำคัญจากกรณี Evergrande คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มิใช่สถาบันการเงินสามารถส่งผ่านความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงินได้ การติดตามสถานะและความเสี่ยงของบริษัทที่มีความสำคัญต่อระบบแบบ Evergrande เพื่อให้สามารถตัดไฟตั้งแต่ต้นลมได้ จึงมีความจำเป็นมากในการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งในกรณีนี้ ผมคิดว่าทางการจีนปล่อยให้ปัญหาลุกลามใหญ่โตเกินไป

 

หันกลับมาดูไทย ธปท. ได้มีการติดตามและประเมินความเสี่ยงของบริษัทขนาดใหญ่มานานแล้ว โดยในช่วงแรกจะเน้นบริษัทที่กู้ยืมสินเชื่อจากสถาบันการเงินเป็นจำนวนมาก แต่ในระยะหลังที่ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก ก็จะรวมบริษัทที่มีการออกหุ้นกู้ในปริมาณมากด้วย

 

ปัจจุบัน ธปท. มีการติดตามความเสี่ยงของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อระบบประมาณ 30 กลุ่มบริษัท โดยใช้ข้อมูลจากงบการเงิน จากสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ จากนักวิเคราะห์ รวมถึงจากการพูดคุยกับบริษัทเหล่านี้โดยตรง 

 

ข่าวดีคือ โอกาสที่กลุ่มบริษัทเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยในระยะหนึ่งปีข้างหน้ามีต่ำมาก ทั้งนี้ ถ้าไม่นับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หุ้นกู้ที่ได้รับการจัดลำดับที่ออกโดยกลุ่มบริษัทเหล่านี้ มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade ทั้งหมด

 

นอกจากนี้พบว่าในภาพรวม กลุ่มบริษัทเหล่านี้สามารถผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปได้ค่อนข้างดี ถ้าเรานึกถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแบบรูปตัว K กลุ่มบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในขาที่ชี้ขึ้นของตัว K

 

อย่างไรก็ดี การที่กลุ่มบริษัทเหล่านี้ฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี หมายความว่ากลุ่มบริษัทเหล่านี้จะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในระบบเศรษฐกิจไทย มีอำนาจการต่อรองกับสถาบันการเงินที่สูงขึ้น และเป็นที่ต้องการมากขึ้นของนักลงทุน ซึ่งจะยิ่งทำให้กลุ่มบริษัทเหล่านี้สามารถระดมทุนในต้นทุนที่ต่ำได้ง่ายขึ้นไปอีก

 

มองในแง่ดี กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่เข้มแข็งจะช่วยนำพาการเติบโตของประเทศ แต่มองในแง่ร้าย อำนาจตลาดที่สูงอาจจะนำไปสู่การแข่งขันที่ลดลงและความเสียเปรียบของบริษัทเล็กบริษัทน้อยได้ ที่สำคัญ ในแง่ของเสถียรภาพเศรษฐกิจ ถ้ากลุ่มบริษัทเหล่านี้เกิดปัญหาขึ้นมา จะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินที่รุนแรงทวีคูณขึ้นไปอีก และยิ่งบริษัทใหญ่ขึ้นเท่าไร บริษัทอาจจะยิ่งระวังตัวเองน้อยลง เพราะเชื่อว่า ถ้าใหญ่ถึงระดับ Too big to fail แล้ว สุดท้ายภาครัฐก็ต้องเข้ามาอุ้ม

 

การติดตามความเสี่ยงของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อระบบ การชั่งน้ำหนักระหว่างมาตรการเพื่อจำกัด Exposure ของระบบสถาบันการเงินกับประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับจากการลงทุนของกลุ่มบริษัทเหล่านี้ และการจำกัดไม่ให้ปัญหาฐานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้นกระทบระบบการเงินในวงกว้าง จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญของผู้ดำเนินนโยบายในระยะต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกหลังโควิด-19 ที่ Disruption ของธุรกิจสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

 

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising