×

EIC คาดโลกแบ่งขั้วรุนแรงเอื้อไทยดึงดูด FDI เข้าประเทศ GDP ในระยะยาวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 0.07% ต่อปี

15.11.2022
  • LOADING...
EIC

EIC คาดโลกแบ่งขั้วรุนแรงขึ้นอาจส่งผลดีต่ออาเซียนและไทยในแง่การดึงดูด FDI จากกระแสการกระจายฐานการผลิต มอง GDP ไทยในระยะยาวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว 0.07% ต่อปี แนะเร่งวางแผนรับมือใน 4 ด้าน

 

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินภาวะเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้าว่ามีโอกาสที่เข้าสู่ภาวะการแบ่งขั้ว หรือ Decoupling มากขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งจะส่งผลให้กระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization) ชะลอตัวลง โดยการเข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 3 ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ท่ามกลางประเด็นความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวันที่ยังยืดเยื้อ ประกอบกับการวางนโยบายส่งเสริมการพึ่งพาตนเองของจีนเป็นแผนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น Made in China 2025 และ Dual Circulation ส่งผลให้การแบ่งขั้วระหว่างสองชาติมหาอำนาจมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นต่อไป  


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


อย่างไรก็ดี EIC คาดว่าการแบ่งขั้วของเศรษฐกิจโลกจะไม่ได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ เนื่องจากแต่ละประเทศเองก็ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งเต็มรูปแบบเช่นกัน โดยในรายงาน National Security Strategy ปี 2022 ของสหรัฐฯ ระบุว่าจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่นำไปสู่ภูมิรัฐศาสตร์โลกแบ่งขั้วตายตัว และจะเคารพการตัดสินใจของชาติต่างๆ ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตนเอง 

 

ด้วยเหตุนี้ EIC จึงมองว่าการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะถูกจำกัดแค่อุตสาหกรรมที่สำคัญต่อความมั่นคงของชาติอย่างเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากการกีดกันการค้าในวงกว้างจะส่งผลให้ทั้งสองประเทศสูญเสียตลาดสำคัญและกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ในขณะเดียวกันถึงแม้การค้าและการลงทุนโลกอาจไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยจากการแบ่งขั้ว แต่จะมีจุดหมายปลายทางที่เปลี่ยนไปสู่ประเทศพันธมิตรหรือประเทศใกล้เคียงที่มีศักยภาพมากขึ้น

 

ทั้งนี้ EIC คาดว่าการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่เร่งตัวจะเป็นโอกาสให้ไทยดึงดูดเม็ดเงินการลงทุน (FDI) เข้าประเทศมากยิ่งขึ้น ผ่านความเป็นไปได้ในการกระจายหรือขยายฐานการผลิตออกจากจีน (Relocation) มายังภูมิภาคอาเซียนที่ยังคงบทบาทเป็นกลาง (Impartiality) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk Drive: HDD) และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ลำดับสองในตลาดโลกรองจากจีน 

 

อีกทั้งหากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันไม่ยกระดับความรุนแรง (เช่น จีนจำกัดการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อไต้หวันแค่ในเชิงสัญลักษณ์ ขณะที่สหรัฐฯ ยังไม่คว่ำบาตรจีนโดยตรง) เศรษฐกิจไทยจะได้รับโอกาสทางการค้าในระยะต่อไปผ่านช่องทางการส่งออกสินค้าไปทดแทนสินค้าที่จีนและไต้หวันพึ่งพากันเองสูง และไทยมีส่วนแบ่งตลาดของสินค้าดังกล่าวทั้งในตลาดจีนและไต้หวัน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องยนต์ 

 

ในภาพรวม EIC ประเมินการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจจะเป็นโอกาสให้เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอาเซียนได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคนี้มากขึ้น โดยการเติบโตของ GDP ประเทศอาเซียนในระยะยาวจะเพิ่มขึ้น 0.1% ต่อปี ขณะที่ GDP ของไทยในระยะยาวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว 0.07% ต่อปี แต่หากในกรณีที่ความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันยกระดับความรุนแรงขึ้น เศรษฐกิจไทยและอาเซียนอาจชะลอตัวจากการส่งออกและการลงทุนที่ลดลง

 

EIC ระบุว่า การวางแผนรับมือการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจจำเป็นอย่างมากสำหรับประเทศไทย ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องเตรียมการเพื่อรับมือต่อภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เปลี่ยนไป โดยควรให้ความสำคัญกับ 4 เรื่องดังนี้ 

 

  1. เร่งการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากประเทศที่เจาะจง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเกิดการย้ายฐานการผลิต ตลอดจนยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ปรับตัวได้ทันต่อเทคโนโลยีโลกที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพื่อนำไทยเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลกในเทคโนโลยีขั้นสูง 

 

  1. เพิ่มความหลากหลายของแหล่งซัพพลายเออร์และผู้ซื้อ เพื่อลดความเสี่ยงที่ห่วงโซ่อุปทานจะหยุดชะงักจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากการกีดกันทางการค้า การโจมตีทางไซเบอร์ หรือเหตุความรุนแรงระหว่างประเทศ รวมถึงความต้องการของสินค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว 

 

  1. ปรับตัวให้ทันต่อระเบียบข้อบังคับโลกที่เปลี่ยนไป จากกฎระเบียบที่เพิ่มมากขึ้นจากการที่ชาติมหาอำนาจพยายามกำหนดระเบียบระหว่างประเทศในด้านต่างๆ เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างประเทศ 

 

  1. เตรียมความพร้อมรับมือความท้าทายข้ามชาติ โดยเฉพาะด้าน Environmental, Social, and Governance (ESG) เนื่องจากการลงทุนด้าน ESG มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต และเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของบริษัทข้ามชาติ
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising