ดัชนี Dow Jones ร่วงกว่า 500 จุด ขณะที่ Nasdaq ลดลง 2% หลังนักลงทุนหวั่นรัสเซียโจมตียูเครน

ตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (11 กุมภาพันธ์) ต่างร่วงลงกันถ้วนหน้า เนื่องจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างยูเครนและรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น และทำให้นักลงทุนทิ้งสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น

Nasdaq Composite ที่เน้นเทคโนโลยีลดลง 2.78% มาที่ 13,791.15 ในขณะที่ S&P 500 ลดลง 1.9% มาที่ 4,418.64 ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม Dow Jones ร่วง 503.53 จุด หรือ 1.43% สู่ 34,738.06

รายงานของ CNBC ชี้ว่า ราคาของหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วในการซื้อขายช่วงบ่าย หลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับรัสเซียที่อาจจะดำเนินการทางทหารต่อยูเครน

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้กล่าวในการบรรยายสรุปของทำเนียบขาวว่า มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการบุกรุกเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซึ่งเขาตั้งข้อสังเกตว่าสหรัฐฯ ไม่แน่ใจว่าวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่จะบุกยูเครน แต่ “มันอาจเกิดขึ้นในไม่ช้า” โดยทั้งสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้เรียกร้องให้พลเมืองของตนออกจากยูเครนโดยเร็วที่สุด

หุ้น Defensive บางส่วนขยับสูงขึ้นหลังมีข่าวดังกล่าว Northrop Grumman เพิ่มขึ้น 4.5% Lockheed Martin เพิ่มขึ้น 2.8%

ขณะเดียวกันราคาน้ำมันปรับตัวพุ่งขึ้น โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า West Texas Intermediate เพิ่มขึ้น 4% เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ หุ้นกลุ่มพลังงานขยับสูงขึ้นควบคู่ไปกับราคาน้ำมัน โดย Diamondback Energy เพิ่มขึ้นเกือบ 4% และ Devon Energy เพิ่มขึ้น 3.6% ExxonMobil และ ConocoPhillips ได้รับ 2.5% และ 2.3% ตามลำดับ

หุ้นท่องเที่ยวอย่างสายการบินลดลงอย่างรวดเร็ว American Airlines ร่วงเกือบ 6% Expedia ปิดตัวลงมากกว่า 2% หลังจากผลประกอบการไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่งเกินคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นในการซื้อขายช่วงแรก

“เราสนับสนุนให้นักลงทุนปฏิบัติตามกลยุทธ์ระยะยาวในช่วงที่ความผันผวนในระยะสั้น” จอห์น ลินช์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Comerica Wealth Management กล่าว

ในตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลร่วงลงหลังจากข่าวยูเครน โดยอัตราผลตอบแทนอายุ 10 ปี ซึ่งทะลุ 2% ในวันพฤหัสบดีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ร่วงลงสู่ระดับ 1.92% ในวันศุกร์ ซึ่งอัตราผลตอบแทนจะเคลื่อนไหวตรงกันข้ามกับราคา

ความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์นี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากการรายงานค่าเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเกินคาดในวันพฤหัสบดี ซึ่งทำให้ เจมส์ บูลลาร์ด ประธาน Fed แห่งเซนต์หลุยส์ เรียกร้องให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเร่งรัด ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์เต็มภายในต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว Fed จะขยับอัตราขึ้นทีละ 0.25%

Goldman Sachs ปรับการคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางของ Fed โดยเรียกร้องให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 7 ครั้ง เพื่อพยายามทำให้เศรษฐกิจเย็นลง ซึ่งสร้างอัตราเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องมากกว่าผู้กำหนดนโยบายที่คาดการณ์ไว้

ด้านหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งมีความผันผวนส่วนหนึ่งเนื่องจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เกิดจากโควิด ต่างก็ร่วงเช่นกัน โดย Advanced Micro Devices และ Xilinx ลดลง 10% ด้านหุ้นของ Newell Brands พุ่งขึ้น 11% หลังทำผลงานได้ดีกว่าที่คาด และหุ้นของ Under Armour ตกลงมากกว่า 12% หลังจากที่บริษัทเครื่องแต่งกายเน้นย้ำถึงปัญหาห่วงโซ่อุปทานในรายงานประจำไตรมาส

อ้างอิง: