×

“ถ้าเราได้ทำงานที่รัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไป” มันจริงเหรอคะ?

18.09.2019
  • LOADING...
ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • สิ่งที่พี่จะบอกก็คือ การที่ได้ทำงานที่เรารักไม่ใช่นิพพาน ไม่ได้แปลว่าได้ทำสิ่งที่เรารักแล้วเราจะมีแต่ความสุข หรือเราจะไม่รู้สึกลบกับมันตลอดไป ต่อให้เป็นงานที่เรารัก เราก็จะต้องเจอทั้งด้านที่ดีและไม่ดี มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่เลวร้าย มันมาเป็นแพ็กเกจคู่ ไม่มีหรอกครับที่ทำงานที่เรารักแล้วจะมีแต่ความสุขอย่างเดียว ไม่ต้องเจอปัญหา ไม่มีความทุกข์ 
  • คำที่บอกว่า “ถ้าเราได้ทำงานที่เรารัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไป” พี่ก็อยากจะบอกว่า รู้สึกว่ากำลังทำงานอยู่มันดีแล้ว เพราะเวลาทำงานมันคือความจริงจัง เราไม่ได้ทำเล่นๆ เราทำด้วยความตั้งใจ และอย่ามองความทุกข์ที่เกิดจากงานในแง่ลบเสมอไป มองให้เห็นมัน แก้ไขมัน ปรับปรุงมัน และอยู่กับมันให้ได้ สุดท้ายคือมองให้เห็นว่างานที่เราทำมีประโยชน์ต่อตัวเองและต่อคนอื่นอย่างไร เราจะได้รู้สึกว่าการทำงานของเรามีความหมาย
  • ทุกวันนี้พี่ได้ทำงานที่พี่รัก และก็รู้สึกว่ามันคือการทำงาน โดยที่ไม่ได้มองว่าการทำงานเท่ากับความทรมานแสนสาหัส พี่รู้สึกตัวอยู่ตลอดที่ทำงานว่ากำลังทำงาน ที่ไม่ได้รู้สึกว่าการทำงานเป็นความทุกข์ทรมานก็เพราะว่ารู้สึกว่าการทำงานทำให้ตัวเรามีความหมาย และงานที่ทำเป็นประโยชน์กับคนอื่นเช่นกัน

Q: พี่คิดอย่างไรกับคำพูดว่า “ถ้าเราได้ทำงานที่รัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไป” มันเป็นจริงไหมคะพี่

 

A: เวลาพี่ได้ยินคำว่า “ถ้าเราได้ทำงานที่รัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไป” พี่รู้สึกว่ามันแฝงด้วยความรู้สึกว่า การทำงานเป็นเรื่องน่าเบื่อ เป็นความทุกข์ทรมาน เราถึงไม่อยากรู้สึกว่าเรากำลังทำมันอยู่ ซึ่งไม่ผิดนะครับที่เราจะรู้สึกว่างานเป็นเรื่องน่าเบื่อ เป็นความทุกข์ทรมานจนเราไม่อยากคิดว่าเรากำลังทำมันอยู่ เรารู้สึกได้ เราเป็นมนุษย์ แต่ถามว่ามันน่าเบื่อและทุกข์ทรมานแบบนั้นทุกกรณีไหม พี่คิดว่าไม่ มันมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่เลวร้าย และชีวิตคนก็ต้องการทั้งช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่เลวร้าย เพราะมันมีประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่

 

สิ่งที่พี่จะบอกก็คือ การที่ได้ทำงานที่เรารักไม่ใช่นิพพาน ไม่ได้แปลว่าได้ทำสิ่งที่เรารักแล้วเราจะมีแต่ความสุขหรือเราจะไม่รู้สึกลบกับมันตลอดไป ต่อให้เป็นงานที่เรารัก เราก็จะต้องเจอทั้งด้านที่ดีและไม่ดี มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่เลวร้าย มันมาเป็นแพ็กเกจคู่ ไม่มีหรอกครับที่ทำงานที่เรารักแล้วจะมีแต่ความสุขอย่างเดียว ไม่ต้องเจอปัญหา ไม่มีความทุกข์ เพียงแต่ว่าก่อนที่เราจะเลือกงานไหน ให้เรามองดูงานนั้นอย่างเข้าใจว่ามันมีด้านที่ดีและไม่ดีอย่างไรบ้าง ยอมรับมันทั้งสองด้าน อะไรที่ดีอยู่ก็ให้เราทำงานแล้วทำให้มันดียิ่งขึ้น ใช้ประโยชน์และสร้างประโยชน์จากข้อดีนั้น ขณะเดียวกัน อะไรที่ไม่ดีอยู่เราก็ทำงานนั้นแล้วคิดว่าเราจะทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไร ปรับปรุงข้อด้อยของงานนั้นอย่างไร หรือจะพลิกให้มันกลายเป็นประโยชน์ให้เราได้อย่างไรบ้าง

 

คำว่า ‘ยอมรับ’ สำหรับพี่ไม่ได้แปลว่าสยบยอมนะครับ แต่แปลว่ามันเห็นทั้งด้านที่ดีและไม่ดีอย่างทะลุปรุโปร่ง อยู่กับมันได้ และทำให้มันดีขึ้นได้ นั่นแหละครับคือการยอมรับที่แท้จริง ถ้ารู้ว่ามันดีหรือไม่ดีแล้วก็อยู่เฉยๆ อันนั้นไม่เรียกว่ายอมรับ พี่เรียกว่าตายซาก ฮ่าๆ 

 

ทุกวันนี้พี่ได้ทำงานที่รักครับ ทั้งงานออฟฟิศและอีกหลายงาน อย่างงานเขียนบทความตอบปัญหาดราม่าในที่ทำงานที่น้องกำลังอ่านอยู่นี้ก็เป็นงานที่พี่รักครับ แต่ก็มีบางทีนะที่พี่รู้สึกว่าทำไมหนึ่งสัปดาห์มันวนมาเร็วจัง ต้องส่งต้นฉบับอีกแล้ว งานก็ยุ่งอยู่แล้วยังต้องหาเวลามานั่งเขียนบทความให้ทันเดตไลน์อีก และแต่ละวันก็มีคนส่งปัญหาเข้ามาปรึกษาพี่มากมาย บางทีพี่ก็คิดเหมือนกันว่าอยากช่วยตอบทุกคำถามจังเลยแต่เวลาไม่พอ ตอบของเก่ายังไม่หมด ของใหม่ก็เข้ามาเพียบ พี่ก็เป็นห่วงว่าคนที่กำลังมีปัญหาอยู่ถ้าพี่ตอบช้าเขาจะยิ่งไม่สบายใจหรือเปล่า เราจะช่วยเขาทันไหม นั่นไงครับด้านที่เป็นความเจ็บปวดของงานที่รัก 

 

ทีนี้เห็นความเจ็บปวดของงานแล้วพี่ก็คงไม่ปล่อยให้มันเป็นความทุกข์เรื้อรัง ถ้าเห็นแล้วว่าทุกข์ของเราคือการที่มีเดตไลน์คอยเฆี่ยนตีเราอยู่ตลอด เราก็หาวิธีการบริหารเวลา ในเมื่อเดตไลน์มันแน่นอนอยู่แล้วเราก็ทำทุกอย่างให้เป็นระบบ มันก็จะไม่กลายเป็นปัญหา เช่นเดียวกัน ทุกข์จากการที่ตอบคำถามไม่ทันก็แก้โดยการที่ทำให้มันเป็นระบบ มีโควตาเวลาในการตอบคำถามแต่ละวัน จัดลำดับความรุนแรงของปัญหาที่ส่งเข้ามา ถ้าตั้งใจจริงๆ มันไม่ได้ใช้เวลานานเลย และก็ใช้เศษเวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ เช่น ระหว่างรออาหารก็ตอบคำถามได้ พอทำแบบนี้แล้วปัญหาที่จะกลายมาเป็นความทุกข์ของพี่ก็จะน้อยลง

 

แต่มันก็มีด้านที่สุขมากๆ คือพี่รู้สึกว่างานของพี่ได้ช่วยคนทุกวัน เวลามีคนมาบอกว่าอ่านบทความแล้วเขาได้กำลังใจ เขาได้งานใหม่แล้วนะ เขาแก้ปัญหาได้แล้วนะ เขาสอบติดแล้วนะ ฯลฯ มันเป็นความสุขยิ่งกว่าเวลาเราได้เงินมาเยอะๆ อีกนะครับ (แต่ก็ยังอยากได้เงินนะ ฮ่าๆ) เพราะฉะนั้น เวลาที่ถึงเดตไลน์ต้องส่งฉบับแล้วพี่รู้สึกงอแงว่าเราต้องส่งต้นฉบับอีกแล้ว พี่ก็แค่บอกตัวเองว่า นี่ไงเรากำลังจะได้ช่วยคน ความทุกข์ที่มาจากการต้องส่งต้นฉบับให้ทันเปลี่ยนเป็นความสุขแล้ว แล้วพี่ก็จะมีภาพในหัวว่า พอบทความนี้ลงออนไลน์ปั๊บ เดี๋ยวมันจะมีคนอ่านแล้วเขาได้ประโยชน์ เขาจะมีกำลังใจขึ้น เขาจะตั้งสติและแก้ปัญหาได้ บางคนอาจจะอ่านแล้วแชร์ไปให้เพื่อนอ่านต่อแล้วเพื่อนที่กำลังทุกข์มาอ่านก็หายทุกข์ พี่จะมีภาพแบบนั้น

 

พี่เห็นทั้งสองด้าน ยอมรับทั้งสองด้าน และหาวิธีทำงานให้ดีขึ้นทั้งด้านที่ดีอยู่แล้วและด้านที่เราเห็นอยู่ว่าเป็นปัญหา 

 

ทุกวันนี้พี่ได้ทำงานที่พี่รัก และก็รู้สึกว่ามันคือการทำงาน โดยที่ไม่ได้มองว่าการทำงานเท่ากับความทรมานแสนสาหัส พี่รู้สึกตัวอยู่ตลอดที่ทำงานว่ากำลังทำงาน ที่ไม่ได้รู้สึกว่าการทำงานเป็นความทุกข์ทรมานก็เพราะรู้สึกว่าการทำงานทำให้ตัวเรามีความหมาย และงานที่ทำเป็นประโยชน์กับคนอื่นเช่นกัน

 

คำที่บอกว่า “ถ้าเราได้ทำงานที่เรารัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไป” พี่ก็อยากจะบอกว่า รู้สึกว่ากำลังทำงานอยู่มันดีแล้ว เพราะเวลาทำงานมันคือความจริงจัง เราไม่ได้ทำเล่นๆ เราทำด้วยความตั้งใจ และอย่ามองความทุกข์ที่เกิดจากงานในแง่ลบเสมอไป มองให้เห็นมัน แก้ไขมัน ปรับปรุงมัน และอยู่กับมันให้ได้ สุดท้ายคือมองให้เห็นว่างานที่เราทำมีประโยชน์ต่อตัวเองและต่อคนอื่นอย่างไร เราจะได้รู้สึกว่าการทำงานของเรามีความหมาย

 

รู้สึกว่ากำลังทำงานเป็นเรื่องดี แต่จะดีกว่านั้นคือรู้สึกว่ากำลังทำงานที่มีความหมาย

 

คำว่า ‘งานที่เรารัก’ ในมุมมองของพี่แล้ว มันไม่ใช่แค่งานที่เราถนัดนะครับ ได้ทำงานที่เราถนัดก็เป็นเรื่องดีแหละ แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้ทำงานแบบที่เขาต้องการได้หมด เงื่อนไขในชีวิตของคนเราต่างกัน แต่เราทุกคนทำงานที่เราทำอยู่ให้กลายเป็นงานที่เรารักได้ ไม่ว่ามันจะเป็นงานไหน เราอยากให้งานนั้นมันเป็นอย่างไร เราก็ลงมือทำให้งานนั้นเป็นแบบนั้น ถ้าเราทำงานให้เป็นงานแบบที่เรารักได้ เราจะไม่ลงมือทำงานแบบซังกะตายไปวันๆ แล้วครับ

 

อย่าแสลงกับคำว่า ‘ทำงาน’ ไปเลยครับ มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา หาวิธีทำงานที่อยู่ตรงหน้าให้กลายเป็นงานที่เรารักให้ได้ อย่าปล่อยให้มันกลายเป็นความทุกข์ที่กัดกินเราไปทุกวัน 

 

จาก “ถ้าเราได้ทำงานที่เรารัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไป” พี่ขอเขียนใหม่เป็น ต่อให้เป็นงานที่เรารัก เราก็จะเจอทั้งความสุขและความทุกข์เหมือนกัน ต้องยอมรับมันทั้งสองด้าน หมั่นคอยทำงานนั้นให้ดีขึ้น จริงจังกับสิ่งที่ทำอยู่ และมองหาคุณค่าของงานเราให้เจอว่ามันมีประโยชน์ต่อตัวเองและคนอื่นอย่างไร และทำให้งานที่เราทำอยู่กลายเป็นงานที่เรารักให้ได้

 

ยาวหน่อยแต่พี่คิดว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับการทำงานนะครับ

 

ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising