×

อธิบายปรากฏการณ์หุ้น DELTA แตกพาร์ไม่ช่วยอะไร หุ้นให้ชอร์ตยังมีน้อย

20.06.2023
  • LOADING...
หุ้น DELTA

นับเป็นอีกหนึ่งครั้งที่หุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน เพราะล่าสุดราคาหุ้น DELTA ดิ่งลงมากกว่า 20% ไปทำจุดต่ำสุดที่ 90.75 บาท และส่งผลกระทบต่อดัชนี SET กว่า 20 จุด หมายความว่า หากราคาหุ้นตัวอื่นที่เหลือในตลาดเท่าเดิม หุ้น DELTA เพียงตัวเดียวจะทำให้ดัชนี SET ลดลงไปได้มากกว่า 20 จุด 

 

แรงขายที่เกิดขึ้นกับหุ้น DELTA เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สั่งให้ DELTA เข้ามาตรการกำกับการซื้อ-ขายระดับ 1 ห้ามคำนวณวงเงินซื้อ-ขาย และ Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน – 10 กรกฎาคม 2566 และทำให้หลายคนกังวลถึงความเสี่ยงที่หุ้น DELTA อาจจะหลุดออกจากการคำนวณอยู่ SET 50 

 

ที่ผ่านมางบประกอบการของ DELTA ในไตรมาสที่ 1 หดตัวเล็กน้อย ทั้งรายได้ที่ลดลงจาก 3.48 หมื่นล้านบาท เป็น 3.25 หมื่นล้านบาท และกำไรที่หดตัวจาก 4.2 พันล้านบาท เป็น 3.6 พันล้านบาท เมื่อเทียบไตรมาสก่อน อีกทั้งด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้ ทำให้อัตราส่วน P/E และ P/BV พุ่งขึ้นถึง 90 เท่า และ 25 เท่า

 

ปัญหาจากสภาพคล่องต่ำและขายชอร์ตหุ้นได้ยาก

 

ย้อนกลับไปช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา หุ้น DELTA มีการเปลี่ยนแปลงพาร์จาก 1 บาทต่อหุ้น เป็น 0.10 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของ DELTA ลดลง 10 เท่า ในขณะที่ปริมาณหุ้นทั้งหมดเพิ่มขึ้น 10 เท่า 

 

หลังจากการแตกพาร์ของ DELTA นักวิเคราะห์ในตลาดหลายรายมองว่า ราคาหุ้น DELTA จะเริ่มวิ่งกลับเข้าสู่ปัจจัยพื้นฐาน แต่ในความเป็นจริงแล้วราคาหุ้น DELTA กลับวิ่งขึ้นอีกครั้งถึงเกือบ 70% ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งด้วยราคา 119.50 บาท 

 

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับราคาหุ้น DELTA ในมุมมองของ ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.ทรีนีตี้ มองว่า เป็นผลจากการที่สภาพคล่องของหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด (Free Float) อยู่ในระดับต่ำ 

 

“จากสถิติล่าสุด การแตกพาร์ของ DELTA ไม่ได้ทำให้ Free Float มากขึ้นหรือน้อยลงแต่อย่างใด ตัวเลขอยู่ที่ 22% และตราบใดที่ผู้บริหารยังไม่ได้มีความตั้งใจจะเพิ่ม Free Float ก็จะทำให้ Turnover ของ DELTA ยังต่ำอยู่เช่นนี้” 

 

ตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ราคาหุ้น DELTA กลับสู่ราคาพื้นฐานได้ จะต้องมีทั้งแรงซื้อและแรงขาย ซึ่งแรงขายในที่นี้หมายถึงการขายชอร์ต (Short Sell) แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ DELTA คือ แม้ว่าราคาหุ้นจะสูงกว่าพื้นฐาน (Overvalued) แต่การ Short Sell ทำได้ค่อนข้างลำบาก 

 

“ช่วงที่ผ่านมาปัญหาที่เจอคือ ลูกค้าไม่มีหุ้นให้ยืมเพื่อจะขายชอร์ต เพราะหุ้นที่ถืออยู่ผ่านมือนักลงทุนตอนนี้ ในแง่ Strategic Holder ไม่ได้ปล่อยยืมหุ้นออกมา ขณะที่กองทุนประเภท Passive Fund หรือ Index Fund ก็ต้องถือหุ้นอยู่ในมือตลอด เพื่อใช้ปรับน้ำหนักพอร์ตลงทุนให้ล้อไปกับดัชนี” 

 

ณัฐชาตกล่าวต่อว่า เมื่อการ Short Sell ทำได้ยาก จึงขาดแรงกดดันต่อราคาหุ้นให้ปรับตัวลงสู่พื้นฐาน

 

อีกประเด็นหนึ่งที่อาจจะยังไม่ทราบข้อเท็จจริงแน่ชัด แต่เป็นการตั้งสมมติฐานขึ้นมาคือ อิทธิพลของหุ้น DELTA ที่มีต่อดัชนีและส่งผลต่อ SET 50 Index Futures ทำให้นักลงทุนบางส่วนใช้ DELTA เป็นตัวในการกำหนดทิศทางของดัชนี SET 50 ซึ่งจะส่งผลต่อตราสารอ้างอิงในตลาด 

 

“เมื่อมีการดึงราคาหุ้นเพื่อให้ดัชนีขึ้นหรือลง ก็ยิ่งทำให้ราคากลับเข้าสู่พื้นฐานยากมากขึ้นไปอีก และกลายเป็นเกมการเงิน (Money Game) ในตลาด”  

 

ทั้งนี้ ปัจจัยนี้จะช่วยให้ปัญหาเรื่องหุ้น DELTA มีอิทธิพลกับตลาดสูงเกินไปคลี่คลายได้นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อ 

 

  1. Free Float สูงขึ้นจากฝั่งของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ต้องยอมรับว่าผู้บริหารไม่ได้มีท่าทีจะระบายหุ้นออกมา 
  2. หากหุ้น DELTA หลุดออกจากการคำนวณดัชนี SET 50 ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในรอบครึ่งปีแรกของปีหน้า หาก DELTA ถูกเข้าคำนวณ Cash Balance อีกเพียง 1 เดือนจากช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ 

 

“หาก DELTA หลุด SET 50 จะทำให้มีหุ้นระบายออกมาจากฝั่งกองทุน Passvie หรือ Index Fund และช่วยให้มีหุ้น DELTA ให้ยืมเพื่อขายชอร์ตมากขึ้น” 

 

บล.เคจีไอ มองยอดขายครึ่งปีหลังส่อฟื้นตัว แต่ยังแนะนำขาย

 

บล.เคจีไอ มองว่า ยอดขายครึ่งปีหลังของ DELTA น่าจะดีขึ้น เพราะยอดส่งออก Server โลกดีขึ้น และบริษัทมีการขยายกำลังการผลิต แต่ในขณะเดียวกันอัตรากำไรจะยังเผชิญกับความท้าทายจากทั้งค่าเงินบาทและส่วนประสมผลิตภัณฑ์ 

 

แต่ด้วยราคาหุ้น DELTA ในปัจจุบันอยู่ในระดับค่อนข้างแพงแล้ว บมจ.เคจีไอ จึงยังคงคำแนะนำขาย โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ไว้ที่ 59.00 บาท อิงจาก PER เท่าเดิมที่ 45 เท่า

 

ขณะที่การประมาณการในไตรมาสที่ 2 บล.เคจีไอ คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ DELTA จะอยู่ที่ 3.8 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว 11% เนื่องจากคำสั่งซื้อเร่งตัวขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลและอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ขณะที่ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 976 ล้านดอลลาร์ เพราะแม้คำสั่งซื้อ Data Centers ยังอ่อนแอและความกังวลด้านการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แต่คาดว่ายอดขายของกลุ่มยานยนต์จะฟื้นตัว จึงคาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 2 จะอยู่ที่ 22.0% 

 

ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1.9 พันล้านดอลลาร์ และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 21.4% ต่ำกว่าสมมติฐานในปัจจุบันของ บมจ.เคจีไอ ที่ 23.8% และต่ำกว่าเป้าของบริษัทที่ 23-24%

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising