×

นัดชนแก้วกับ ปนุ สมบัติยานุชิต หลังอำลาตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสาร ELLE

โดย the perfect curls
15.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

10 Mins read
  • หลังอำลาตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Elle ประเทศไทย บ็อบบี้-ปนุ สมบัติยานุชิต ปฏิเสธหลายสื่อที่ติดต่อขอสัมภาษณ์ แต่เขากลับให้โอกาส (แกมท้าทาย) แก่ THE STANDARD เป็นที่แรก
  • เขาคือบ.ก. ที่ไปงานสังคมสาย 15 นาทีและกลับก่อนงานเลิกเสมอ (ใน Elle Fashion Week หลายครั้งที่ผ่านมา เขาคือคนที่ออกจากเต็นท์เร็วที่สุด)
  • ​“ถ้าใครเรียกบ็อบว่าเป็นคนแฟชั่น กูอายด้วยนะ รู้สึกว่าวันๆ จะแต่งตัวอย่างเดียวเลยเหรอ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์กันบ้างเหรอ ไม่สังเกตคนกันบ้างเหรอ ประวัติศาสตร์อ่านไหม คุณสนใจว่าใคร collaborate กับใครเท่านั้นเหรอ ไม่สนใจประวัติดีไซเนอร์เลยเหรอว่าทำไมเขาทำขึ้นมาได้วะ ไม่แคร์กันเลยเหรอ”

When Bob says… listen
     ชนแก้วจินกับ บ็อบบี้-ปนุ สมบัติยานุชิต คุยเรื่องชีวิตหลังอำลาตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสาร ELLE ประเทศไทย ความแอนตี้แฟชั่นกับอนาคตของวงการแฟชั่นไทย และ Reverso ที่ไม่ได้ไขลาน (มานานแล้ว)

 


Don’t let appearance fool you
     วันนี้บ็อบบี้สวมสูทพินสไตร์ปกระดุมสองแถวสีน้ำเงิน-ขาว แบบเดียวกับที่นักธุรกิจย่านวอลล์สตรีทชอบใส่ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือเขาไม่กลัดกระดุมสูท เผยให้เห็นเชิ้ตขาวคัตติ้งเนี้ยบปกตั้ง ลดความเป็นทางการด้วยการปลดกระดุมเชิ้ต 2 เม็ด เห็นผิวสีแทนบนแผงอก ใส่เข้าชุดกับยีนส์ขาวตัดปลายขาหลุดรุ่ย และรองเท้าโลเฟอร์หนังสีดำมันวับ
     ​คุยกับบ็อบบี้ทั้งที งานนี้ต้องมีดื่ม
     ตรงหน้าคือจินโทนิก เครื่องดื่มที่ฟรานซิส สก็อตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ ผู้เขียน The Great Gatsby ต้องมีติดมือไว้ในงานปาร์ตี้ตลอดคืน เหตุผลที่ฟิตซ์เจอรัลด์ติดจิน เพราะแม้จะเข้าใกล้เขาแทบกระซิบใบหู คนรอบข้างก็จะไม่รับรู้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์ แต่เหตุผลที่บ็อบบี้ดื่มจินกลับต่างออกไป “เพราะหมอบอกว่าไม่อ้วน” เขากล่าวสไตล์คนรักษาหุ่น แต่ยังรักความเมามาย คนในวงการย่อมรู้ดีว่าหากบ็อบบี้ปรากฏตัวในงานสังคม ก้านเรียวเล็กของแก้วแชมเปญแทบจะเข้าไปแทนที่นิ้วก้อยตลอดเวลา ทั้งที่ในชีวิตจริง เขาชอบดื่มเหล้าที่ง่ายจนขัดกับภาพลักษณ์ที่หลายคนมองว่า “เยอะจังวะผู้ชายคนนี้”
     ​“จริงๆ ชอบแสงโสมนะ ไม่ยึดติดกับอะไรพวกนี้เลย ดื่มได้หมด แชมเปญก็ดื่มได้ ดื่มเก๋ๆ กินได้ เอาสนุก กินมากก็ไม่ไหว แต่ถ้าจะให้เปิดแสงโสมกลางงานก็เก๋ไปมะ?” ​แดกดันแสบสันถึงทรวงในสไตล์เขาล่ะ
     ​มือขวาคีบ Marlboro Purple มวนที่ 6 ของวัน “จริงๆ ชอบสูบเรดนะ เป็นคนชอบฮาร์ดคอร์” เขายิ้มอ่อน พ่นควันฉุย
     ​บนข้อมือซ้ายคือ Jaeger-LeCoultre รุ่น Reverso นี่คือ dress watch ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจนักกีฬาโปโล เพราะตัวเรือนของนาฬิการุ่นนี้สามารถพลิกหน้าปัดซ่อนไว้ด้านใน เผยให้เห็นด้านหลังที่โล้นเป็นเงาสีเงินวาววับ ป้องกันหน้าปัดแตกตอนเล่นโปโล หลังเล่นเสร็จ พลิกหน้าปัดกลับมาเหมือนเดิมเพื่อใส่เข้าชุดกับทักซิโดในงานเลี้ยงสโมสรโปโลยามค่ำคืนได้ทันที บ็อบบี้สวมมันแบบพลิกกลับด้าน ซ่อนหน้าปัดเอาไว้เสมือนว่าจะควบม้าลงสนามโปโล ทั้งที่คืนนี้เขาไม่ได้มีแผนจะไปเล่นโปโลที่ไหนทั้งนั้น แต่ที่เซอร์ไพรส์กว่าคือเมื่อพลิกกลับมา หน้าปัดกลับโชว์เวลา 11 โมง 14 นาที ซึ่งขัดกับช่วงเวลาตอนนี้ที่พระอาทิตย์กำลังโบกมือลาตึกระฟ้าย่านเพลินจิต
     ​“ไม่ได้ไขลานมานานแล้ว ก็ดูเวลากับมือถือมะ?” แต่จะดูไปทำไม เพราะสำหรับบุรุษคนนี้ ‘เวลา… ไม่มีจริง’
     ​ระหว่างสนทนา ผมมองบ็อบบี้ผ่านเลนส์ Pentax K1000 เป็นระยะ พลางคิดว่าที่ผ่านมา ผมแทบไม่รู้จักเขาเลย


ภาพระหว่างการสัมภาษณ์ ถ่ายโดย: the perfect curls

 

Contrast is his magic
     ถ้าคุณอยาก ‘อ่าน’ ความคิดและตัวตนของบ็อบบี้ให้เข้าใจ ไม่ใช่แค่อ่านโควตคำพูด เพราะนั่นมันผิวเผินเกินไปเมื่อเทียบกับความซับซ้อนของผู้ชายคนนี้ แต่คุณต้อง ‘ดื่มด่ำ’ ทั้งบุคลิกและความคิดของเขาไปกับจินโทนิก ควันบุหรี่ และแสงนีออนยามราตรีที่สะท้อนสันดานของเมืองกรุง
     ​ก่อนสัมภาษณ์ในวันนี้ บ็อบบี้และผมเคยตระเวนราตรีดื่มกัน 1 ครั้ง (โดยไม่ได้ตั้งใจ) เริ่มแก้วแรกที่ Soul Bar ย่านเจริญกรุง จนจบราตรีที่ 72 Courtyard
     ​ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป หลังอำลาตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Elle ประเทศไทย เขาปฏิเสธหลายสื่อที่ติดต่อขอสัมภาษณ์ เพราะกำลังวุ่นกับการทำงานให้ Momentum S บริษัทรับจัดไพรเวทปาร์ตี้ที่เปรี้ยวที่สุดในกรุงเทพฯ (เขาผละมือจากสิ่งพิมพ์ไว้ชั่วคราว และเตรียมจะออกเว็บไซต์นำเสนอคอนเทนต์สนุกๆ สไตล์ #บ็อบว่าดี  ในเร็วๆ นี้) แต่เขากลับให้โอกาส (แกมท้าทาย) แก่ THE STANDARD 
      เราเริ่มจิบเวลคัมดริงก์ที่ Siwilai City Club จบด้วยจิน (เคล้ากลิ่นยาจีน) แก้วสุดท้ายตอนเที่ยงคืนกว่าที่ Ba Hao ซอยนานา ย่านเยาวราช ​ตลอดคืนนั้น ผมพบว่า ‘ความขัดแย้ง’ ในบุคลิกของผู้ชายคนนี้คือเสน่ห์ (หรือที่เขาเรียกว่า magic) ที่ชวนหลงรัก
     ​“บ็อบกลัวแพ้ แต่กล้าบู๊” ชายคนนี้ไม่ชอบการแข่งขัน แต่หากคิดจะสู้บนเวทีไหน เขาต้องไม่แพ้ใครทั้งนั้น
     ​“หน้าที่บ.ก. หนึ่งคือการ make a statement, make a magic สร้างความมั่นใจว่าหนังสือยังอยู่ สองคือหลังบ้าน บ.ก. ต้องทำให้เป็นยูนิตี้เดียวกัน ไม่ใช่ออกไปข้างหลังแล้วมีคนแทงๆ สำคัญมาก ทำยังไง ใช้เวลาอยู่กับเขาสิ เปิดใจ ให้ใจอยู่กับเขา ให้เขาสัมผัสว่าฉันไม่ใช่คนเยอะ ยิ่งสูง ยิ่งต้องใช้หัวใจในการบริหาร ใช้พาวเวอร์ไม่ได้ ต้องใช้หัวใจอย่างเดียว” นั่นเป็นเพราะสิ่งสำคัญหลักในชีวิตของบ็อบบี้คือการสะสมเพื่อน สอนและผลักดันเด็กรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพให้ไปได้สุดทาง การใช้ใจแลกใจคือเมจิกที่ทำให้เขาคือคนที่ทุกคนจดจำ ไม่ใช่แค่ในฐานะบรรณาธิการ ​
     ​แต่ขณะเดียวกัน เขาคือบ.ก. ที่ไปงานสังคมสาย 15 นาที และกลับก่อนงานเลิกเสมอ (ใน Elle Fashion Week หลายครั้งที่ผ่านมา เขาคือคนที่ออกจากเต็นท์เร็วที่สุด) “การไปงาน คุณต้องไปเลตสัก 15 นาที ถ้าคุณไปเร็ว คุณไม่สำคัญ fashionably late ใครแคร์เรื่องตรงเวลาบ้างวะ 15 นาที ลูกค้ายังมาไม่ครบเลย นั่นยิ่งต้องไปช้าแล้วกลับเร็ว แต่ไปถึงต้อง make statement นะ สมมติว่าถ้าเป็นเด็กๆ ก็ลงชื่อไป แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ให้พุ่งไปเจอเจ้าของงานเลย ขอโทษนะครับที่มาช้า ขออนุญาตถ่ายรูปด้วยได้ไหมครับ เสร็จแล้วนั่งแป๊บหนึ่ง ไม่ต้องรอเอาของ ถ้าคุณเปรี้ยวจริง ให้เขาเอามาส่งให้ที่ออฟฟิศวันรุ่งขึ้น” บ็อบบี้กล่าวติดตลกว่าหน้าที่บ.ก. คือการสร้างความอึดอัดทุกครั้งที่ปรากฏตัวในงาน แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อมาจากการกระทำของเขา กลับเป็นความอึดอัดที่ทุกคนรอคอย เพราะมันเป็นธรรมชาติ สุภาพ ไม่ใช่การแสดง และมีเสน่ห์จนทุกคนหลงใหล
     ​สุดท้าย เขาแอนตี้แฟชั่น แต่กลับได้รับการยอมรับและยกย่องจากคนในวงการแฟชั่นไทย
     หากใช้อย่างถูกที่ถูกเวลา จะมีความขัดแย้งใดที่น่าศึกษาไปมากกว่านี้

 ยิ่งสูง ยิ่งต้องใช้หัวใจในการบริหาร ใช้พาวเวอร์ไม่ได้ ต้องใช้หัวใจอย่างเดียว

 

You have to learn to say in the digital world
     หลังอำลาตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสาร ELLE ประเทศไทย ที่น่าสังเกตคือบ็อบบี้เขียนสเตตัสบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมส่วนตัวบ่อยขึ้น พร้อมใส่ #บ็อบว่าดี มาพร้อมสโลแกนคือ ‘อะไรที่ #บ็อบว่าดี มันต้องดีมาก’ ซึ่งถือเป็นต้นแบบของคอนเทนต์ที่เขาจะเผยแพร่ในเว็บไซต์ของ Momentum S เร็วๆ นี้อีกด้วย
​      “จริงๆ ชอบเขียนอะไรแบบนี้ แต่หนึ่ง ไม่ว่าง สอง ขี้เกียจ สาม กลัว เพราะเมื่อก่อนสมัยเป็นบ.ก. ELLE จะเขียนเรื่องของผู้ชายมากไปก็ไม่ได้ เราต้องรู้ว่าสวมหัวโขนอะไรอยู่”
     ​“ยังอยากกลับมาทำหนังสือไหม” ผมถาม
     ​“ไม่อยาก” เขาตอบทันที “สิ่งพิมพ์มันอยู่อยู่แล้ว แต่ผู้บริหารหรือคนที่เป็นนายทุนต้องลงทุนกับ digital platform ให้ใหญ่ เพราะตลาดต้องการดิจิทัล”
     “เราต้องอยู่กับความเร็วขนาดนั้น?”
​     “ไม่ต้องอยู่กับความเร็ว แต่ต้องอยู่กับความสนุก you have to learn to say in the digital world อย่างบ็อบ แต่ก่อนกว่าจะเขียนอะไรได้ใช้เวลานานมาก เป็นคนตั้งตัวช้า แต่วันนี้รู้สึกว่าเราต้องหัด express สิ่งที่คิดอยู่ในหัว นักเขียนต้อง express ออกมา ไม่ต้องตั้งตัวเยอะ มีสองโหมด โหมดที่ประณีตก็ประณีตไป แต่โหมดที่เราคิดเดี๋ยวนี้ ต้องพูดเลย แต่ยังต้องประณีตเรื่องคำนะ นั่นคือสิ่งที่นักเขียนต้องปรับ
​     “เมื่อก่อนบ็อบเคยรู้สึกแปลกๆ กับคนที่เขียนสเตตัสลงเฟซบุ๊กเหมือนกัน แต่ตอนนี้คนมันไม่แคร์แล้ว เราต้องเปิดใจกับมันหน่อย อย่าไปคิดว่านั่นคือพื้นที่สำหรับคนเศร้า มึงไม่มีเพื่อนเหรอวะ ทำไมมาบ่นในนี้ แต่เราก็ยัง stalk เขาเลย (หัวเราะ) เอาจริงๆ แม่บ็อบพูดเลย เธอไม่ดูเศร้ากว่าเหรอ เขายังกล้ากว่าเธอเลย เธอเศร้ากว่าอีกนะ เพราะเธอไม่กล้า เธอยังไปจัดชุดความคิดให้เขาอีกนะว่าเขาน่าเศร้า แม่บอกว่า you have your quality พูดไปเลย don’t care. You always have the audience. ซึ่งมีแค่ 5 คนก็เก๋แล้วปะ? แค่ 5 คนที่มีพาวเวอร์ก็เปรี้ยวแล้วปะ? ไม่ต้องการคนกดไลก์สามหมื่น ไม่ต้องหรอก เพราะเราเป็นคน niche แค่คนเข้าใจ 5 คนมันก็ได้สอนคนแล้วนะ

     “บ็อบกลัวนะว่าเดี๋ยวนี้กูต้องมี audience ทางเฟซบุ๊กแล้วเหรอวะ กูเป็นเหมือนคนอื่นแล้วเหรอวะ เสี่ยวแล้วเหรอวะ แม่บอกเลยว่า แล้วมันต่างอะไรเหรอกับการที่เธอมีเพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อนจริงๆ น่ะ มันแค่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม โอ้โห มันทำให้บ็อบหายกลัวเลย”

ในการวิจารณ์คน ไม่ใช่พูดแค่ว่าไม่สวย เราต้องให้เหตุผลด้วย

 

Fashion is human, that’s all.
     “ตอนนี้ถือว่ายังอยู่ในวงการแฟชั่นไหม” ผมถาม
      “ไม่เคยอยู่ด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดว่าตัวเองอยู่” เขากล่าวพลางเอามือบังลมที่เข้ามาขณะจุดบุหรี่ “คนที่รู้จักบ็อบจริงๆ จะรู้ว่าบ็อบไม่ได้สนใจแฟชั่นนะ แต่สนใจคนมากกว่า Fashion is human. Fashion is all about your inner-self. It’s very personal. แฟชั่นคือปัจจัยหนึ่งของมนุษย์อยู่แล้วตั้งแต่เกิดขึ้นมา มันต้องซึมเข้าเนื้อเว้ย ส่วน branded คือเป็นส่วนหนึ่ง คือทุนนิยมซึ่งมันมาทีหลัง เรื่องคนมันสนุกกว่า เอาจริงๆ คนไทยสนใจแฟชั่นแบบแฟชั่นมากไป คิดว่าเป็นเรื่องของคนรวย เปล่า บางทีคนพวกนี้เขา unguided เฉยๆ ถ้าเราไปไกด์เขานิดนึง เขาจะเข้าใจ บ็อบสนุกตรงนี้ ที่ทำหนังสือก็เพราะอย่างนี้” เขาพักจิบจินก่อนจะแสดงทัศนะอย่างเผ็ดร้อน
     ​“ถ้าใครเรียกบ็อบว่าเป็นคนแฟชั่น กูอายด้วยนะ รู้สึกว่าวันๆ จะแต่งตัวอย่างเดียวเลยเหรอ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์กันบ้างเหรอ ไม่สังเกตคนกันบ้างเหรอ ประวัติศาสตร์อ่านไหม คุณสนใจว่าใคร collaborate กับใครเท่านั้นเหรอ ไม่สนใจประวัติดีไซเนอร์เลยเหรอว่าทำไมเขาทำขึ้นมาได้วะ ไม่แคร์กันเลยเหรอ? เศรษฐกิจทุกอย่างมันเอฟเฟกต์แฟชั่นทั้งนั้น ทำไมไม่เห็นมีใครแคร์เลย ถ้าใครเรียกเราว่าเป็นคนแฟชั่น มัน uncomfortable”
     “แล้วคุณมองวงการแฟชั่นไทยตอนนี้อย่างไร” ผมหยิบที่เขี่ยบุหรี่ให้เขา
​     “so so” บ็อบบี้กระทุ้งปลายบุหรี่ จิบจิน ยักไหล่ “ไม่ตื่นเต้น แต่บ็อบยังเชื่อว่าทุกอย่างมีความสนุกของมันอยู่ เวลาคนทำอะไรใหม่ๆ แม่งมันนะ แต่จะเบื่อคนที่พยายามจะเก๋ พยายามจะเป็น someone else เยอะอะ แต่มันทำไม่ถึง นอนอยู่บ้านดู TV Direct ยังสนุกกว่าเลย ดูรายการขายกระทะ Korea King ยังสนุกกว่าที่มันดีไซน์กันเลย การดีไซน์เราต้อง into กับมัน คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์, เรอิ คาวาคูโบ ทุกคนพูดอย่างนี้ เขา into กับมัน ถ้าคุณเจ๋งจริง คุณมีอนาคตตั้งแต่แรกแล้ว แต่นี่ก๊อบเขาบ้าง คิดจะขายบ้าง เอายอดบ้าง มันไม่ได้มาจากว่าเราชอบมันจริงๆ บางคนจบโรงเรียนดีๆ จบเมืองนอกมาเป็นดีไซเนอร์ นี่ดีไซน์แล้วหรอ ซื้อที่แพลตินัมยังเก๋กว่าเลย คนที่มันต้องสู้ ต้องฝ่าฟันอะไรมา มันจะเก่ง บางทีเด็กที่สบายมา มันไม่เก่ง”
     ​“ต้องมีปมด้อย?” ผมถาม
     ​“Yes ปมด้อยสำคัญ มัน drive the world เว้ย makes the world moving” บ็อบบี้อัดบุหรี่เฮือกใหญ่
      “แล้วคุณมีไหม”
​      “มี ทุกคนมี แต่บ็อบไม่เคยใส่ใจมันไง เลยเป็นแบบนี้ (หัวเราะ) ปมด้อยมีไว้ข้ามมั้ง บ็อบรู้สึกอย่างนั้น เอาจริงๆ ไม่เคยคิดว่าอะไรเป็นปมด้อย มันมี แต่ไม่เคยให้ความสำคัญ คิดถึงมันนะ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ขี้กลัวหรอ ก็ไม่ใช่ มันต้องสะกดจิตและเจาะลึกลงไปมากกว่านั้นว่าเรามีบ่ออะไรวะ ทำไมเราต้องขี้กลัววะ ทั้งๆ ที่เรามีทุกอย่าง เรากลัวอะไรวะ”
     ​“เท่าที่ฟังมา ดูเหมือนว่าตัวคุณก็มีความเป็นนักวิจารณ์อยู่พอสมควร ทั้งวิจารณ์ตัวเองและวงการ?”
      “Of course สูงด้วย ปากไม่ดีด้วย บางทีต้องอีดิทตัวเอง” เขาหัวเราะ “เวลาวิจารณ์คนต้องไม่อคติ คือเราเห็นปุ๊บ ต้องใช้ความรู้นิดนึง อันนี้ดูรู้แหละว่าก๊อบใครมา หรือบางทีจะทำเก๋ๆ แต่รสนิยมการใช้สีคุณไม่ถึง ในการวิจารณ์คน ไม่ใช่พูดแค่ว่าไม่สวย เราต้องให้เหตุผลด้วย เราพูดแรงนะ น้องๆ น้องทำงานกะเทยเกินไป แบบนี้เหมือนกะเทยต่างจังหวัด จะพูดเลยว่าจริงๆ แล้วคุณต้องพัฒนารสนิยมการใช้สี คนก็หาว่าบ็อบพูดแรง แต่เราพูดชัดเจนนะ บ็อบรู้สึกว่าเขาอาจจะเจ็บ แต่เขาต้องได้อะไรกลับไป วงการถึงจะสนุกขึ้น ต้องบิลด์คนแบบนี้ คนที่สามารถพูดแล้วจริงใจกับความรู้สึกตัวเองได้”

ชีวิตมันจะเอาอะไรมาก ทุกคนต้องตายหมดแหละ อยู่บนโลก 2 หมื่นวัน happy everyday ไหมล่ะ ถ้าไม่มีความสุขจะอยู่ทำไม เอาจริงๆ เวลากังวลเรื่องอะไร หลับสักตื่นก็หายแล้ว ตื่นมาโลกก็เปลี่ยนแล้ว

 

20,000 Days left, so have fun with life
     คนรถของบ็อบบี้ขับ Mercedes Benz รุ่น E230 มารับที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เพื่อไปยัง Ba Hao บาร์สไตล์จีนแห่งใหม่ในซอยนานา เราสั่งจินโทนิกเหมือนเดิม มีเกี๊ยวเป็ดเพิ่มเป็นกับแกล้ม ยิ่งดึก ยิ่งพลิ้ว ความมืดดำตัดกับไฟจากโคมแดงและระดับแอลกอฮอล์ที่พุ่งสูง คือบทโหมโรงที่เชื้อเชิญให้เขาเริ่มเปลือยตัวตนที่ไม่ค่อยบอกใคร… ไม่ใช่ ก็ใกล้เคียง
    ​ “จริงๆ แล้วบ็อบเป็นคน submissive และเป็น follower มากๆ” เขามองลอดเลนส์สีแดงของแว่น
​     “แต่คุณเคยเป็นผู้นำของคนทุกคน?”
​     “มันไม่เหมือนกัน” บ็อบบี้คีบเกี๊ยวเป็ดและตบด้วยจิน “ให้นำในเรื่องการทำงาน มันง่าย แต่นำในการใช้ชีวิต ทำไม่ได้ เพราะมันพันๆ กันไป คนมักจะคิดว่าบ็อบต้องการอะไรเก๋ๆ เปล่า บ็อบต้องการอะไรที่ซิมเปิลมาก ง่ายๆ แบบว่าเดินๆ อยู่แล้วกินไส้กรอกเซเว่น ไข่ต้มเซเว่น ได้หมดเลย เป็นคนอย่างนี้จริงๆ ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ จังหวัดที่ไม่มีไฟฟ้าก็อยู่ได้นะ ทำได้หมด ถ้ารู้สึกว่าสนุก แฮปปี้ ไม่เรื่องเยอะเลย มีเท่าไรก็อยู่แบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ สำคัญที่สุดคืออินเนอร์ ต้องภูมิใจกับตัวเอง”
​     “เหมือนเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวเองสูง?” ผมถาม
     ​“ไม่มีตรงกลาง เพราะตรงกลางมันคนเยอะไป ตรงกลางมัน too crowded มันไม่สุดสักที ที่บ้านของบ็อบเคยบอกว่า have fun, it’s no fun to be in the middle, up or down only. it’s more fun. ชีวิตมันจะเอาอะไรมาก ทุกคนต้องตายหมดแหละ อยู่บนโลก 2 หมื่นวัน happy everyday ไหมล่ะ ถ้าไม่มีความสุขจะอยู่ทำไม เอาจริงๆ เวลากังวลเรื่องอะไร หลับสักตื่นก็หายแล้ว ตื่นมาโลกก็เปลี่ยนแล้ว แต่นั่นแหละ บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองคิดน้อยไป”
     ​“คุณเคยไม่ชอบตัวเองไหมที่เป็นคนมีความคิดแบบนี้”
​     “ไม่เลย ภูมิใจในตัวเองและรักตัวเองมากที่สุดในโลก เวลารักตัวเอง มันจะส่งออกมาว่าเป็นคนแฮปปี้ มีความสุข ผู้คนก็จะรู้สึกได้ และมีเหลือเผื่อแผ่ให้คนรอบข้างด้วย เรื่องทุกอย่างในโลกนี้บ็อบว่าแล้วแต่จะมอง ถึงบอกว่าบ็อบไม่เคยคิดถึงปมด้อย ขี้เกียจคิด คิดถึงปมเด่นอย่างเดียว บ็อบมีเพื่อนรวยล้ำหมดเลย แต่กลับรู้สึกว่าเรามีเต็มมากกว่าเขา… และมีเหลือเผื่อแผ่ด้วย” หลังตอบคำถาม เขาใส่ฟูลสต็อปให้ค่ำคืนด้วยการยกจินดื่มจนหมดแก้ว ​
     ​บ็อบบี้มาส่งผมที่ถนนใหญ่ ระหว่างทางกลับบ้าน ผมคิดในใจว่านี่อาจจะเป็นบทสัมภาษณ์ที่เขียนยากที่สุด คลุมเครือที่สุด ไม่ชี้ชัดที่สุด แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือชายคนนี้ไม่เคยเกลียดสิ่งที่ตัวเองเป็น เขายอมรับปมเด่นนั้นอย่างเต็มหัวใจ และเผื่อแผ่พลังบวกนั้นให้คนรอบข้างเสมอ รักตัวเองซะก่อนที่จะไปรักคนอื่น นั่นต่างหากที่ทำให้เขาไปได้ไกลและมีแต่คนจำเขาได้ ไม่ใช่ในฐานะบ.ก. นิตยสารเล่มใดเลย แต่จดจำในฐานะบ็อบบี้-ปนุ สมบัติยานุชิต ในตัวตนของเขานั่นเอง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising