วันนี้ (24 ตุลาคม) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดียาเสพติด หมายเลขดำ อย.2201/2560 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง อัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง อายุ 36 ปี, สรรเสริญ รสานนท์ หรือ เน็ต อายุ 41 ปี และ อังสุพร อินา หรือ อุ้ม อายุ 35 ปี เป็นจำเลยที่ 1-3
ในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ, ฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 4, 6, 10, 14 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60
โดยอัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 ระบุพฤติการณ์ความผิด สรุปว่าเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2559 – 2 กุมภาพันธ์ 2560 จำเลยทั้งสาม กับ ณัฐพล นาคคำ หรือ บอย จำเลยคดีค้ายาเสพติด ของศาลอาญา กับพวกที่หลบหนี
โดยร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำในการเป็นผู้จัดหา ครอบครอง เก็บรักษา ลำเลียงยา หาลูกค้าและเป็นเครือข่ายการรับยาเสพติด รวมทั้งจัดการด้านการเงินที่เกี่ยวข้องที่ณัฐพลหรือบอยกับพวกเป็นผู้จัดหายาเสพติดและเป็นผู้ประสานงานในการขนถ่ายลำเลียง ซึ่งวันที่ 26 พฤศจิกายน 2559 เจ้าพนักงานได้จับกุม พร้อมของกลางยาบ้า 140,000 เม็ด และยาไอซ์ชนิดเกล็ดสีขาว น้ำหนัก 19 กิโลกรัมเศษ โดย ณัฐพล นาคคำ หรือ บอย ได้โอนเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดเข้าบัญชีอัครกิตติ์, สรรเสริญ และ อังสุพร รวม 53 ครั้ง เป็นเงิน 11,072,547 บาท ซึ่งอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ไปซื้อรถลัมโบร์กีนีและรถจักรยานยนต์ราคาแพงด้วย
เหตุเกิดที่แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม, แขวงจอมพล เขตจตุจักร, กทม. และที่อื่นๆ เกี่ยวพันกัน
ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา อัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธโดยตลอด ส่วนจำเลยที่ 2-3 ให้การรับสารภาพผิดฐานฟอกเงินเท่านั้น
คดีนี้ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 ให้จำคุกอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 ปี ฐานร่วมกันฟอกเงิน และให้ยกฟ้องข้อหาสนับสนุนหรือช่วยเหลือหรือสมคบกันค้ายาเสพติด ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และ พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปรามยาเสพติดฯ
ส่วนจำเลยที่ 2-3 มีความผิดฐานร่วมกันสนับสนุนหรือช่วยเหลือ หรือสมคบค้ายาเสพติด และฐานร่วมกันฟอกเงิน ให้จำคุกคนละ 8 ปี, ซึ่งให้การรับสารภาพ ศาลลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกฐานฟอกเงินคนละ 4 ปี และฐานสมคบกันทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้จำคุกอีกคนละ 20 ปี ปรับคนละ 400,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2-3 คนละ 24 ปี ปรับคนละ 4 แสนบาท จำเลยยื่นอุทธรณ์
อย่างไรก็ตามศาลอุทธรณ์พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาแก้ให้เพิ่มโทษอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานสนับสนุนช่วยเหลือหรือสมคบค้ายาเสพติด และฐานฟอกเงินจำคุกรวม 36 ปี 8 เดือน ปรับ 3,333,333.33 บาท ส่วนจำเลยที่ 2-3 ปี เหลือจำคุก คนละ 22 ปี 6 เดือน ปรับคนละ 400,000 บาท
พวกจำเลยยื่นฎีกาเบิกตัวจำเลยจากเรือนจำมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
ซึ่งอัครกิตติ์ จำเลยที่1 ยื่นฎีกาเพียงคนเดียว
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่าแม้คดีนี้อัยการโจทก์จะมีรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดและเจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงาน ปปง. เบิกความทำนองเดียวกันว่า อัครกิตติ์จำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมรู้เห็นและเป็นผู้สนับสนุนการค้ายาเสพติดของกลาง
แต่อย่างไรก็ตามจำเลยคนอื่นในคดีนี้ไม่ได้เบิกความอ้างถึงว่าอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ร่วมกระผิดตามที่อัยการโจทก์ฟ้องในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้อัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นพิพากษายกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ทั้งนี้มีรายงานว่า อัครกิตติ์ หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง มีความผิดเฉพาะข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งศาลอุทธรณ์จำคุก 3 ปี 4 เดือน โดยอัครกิตติ์ ติดคุกมาแล้ว 4 ปีเศษ ดังนั้นจะได้รับการปล่อยตัวที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางในช่วงเย็นวันนี้
ด้านมารดาอัครกิตติ์กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากจนพูดไม่ออก ที่ผ่านมาเสียใจที่ลูกชายมาติดคุก แต่ตอนนี้ลูกชายติดคุกครบแล้ว ดังนั้นตอนเย็นนี้ครอบครัวและเพื่อนก็เตรียมตัวจะไปรับลูกชายที่เรือนจำ