วันนี้ (7 ธันวาคม) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กล่าวถึงความคืบหน้ากระบวนการเปลี่ยนแปลงประเภทวีซ่าของกลุ่มนายทุนจีนสีเทา โดยชูวิทย์ได้นำข้อมูลที่รวบรวมเป็นสถิติ ประกาศทางราชการ รูปภาพ และคลิปของมูลนิธิ ซึ่งเชื่อว่าอยู่ในขบวนการนายทุนจีนสีเทามาเป็นหลักฐานอ้างอิง
ชูวิทย์กล่าวว่า กลุ่มนายทุนจีนสีเทาที่สามารถเข้ามาทำธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย ล้วนมีสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เป็นด่านแรกที่สนับสนุน ส่งเสริมให้กลุ่มดังกล่าวเข้ามาในประเทศได้ ผ่านการเปลี่ยนแปลงประเภทวีซ่า
จากเดิมคนจีนที่เข้ามาในประเทศไทยจะเป็นการขอวีซ่าประเภทนักท่องเที่ยว มีระยะเวลาอยู่ในประเทศ 30 วัน ซึ่งหากต้องการอยู่นานกว่าที่กำหนด คนจีนกลุ่มดังกล่าวจะติดต่อผ่านนายหน้าชาวจีนที่ทำบริษัทกฎหมาย ในรูปแบบมีนอมินีชาวไทยบังหน้า ในขั้นนี้มี ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว คอยแนะนำชาวจีนให้บริษัทมาอีกทอด
จากนั้นบริษัทเปลี่ยนประเภทวีซ่าเป็น 3 แบบ ประกอบด้วยวีซ่าธุรกิจ หรือ NON-B, วีซ่าผู้ติดตาม อาสาสมัคร หรือ NON-O และวีซ่านักเรียน หรือ (ED) ที่ทำผ่านมูลนิธิ โดยระบุว่าเป็นการทำงานจิตอาสา หรือเรียนภาษา แต่ละคนที่ทำจะต้องเสียค่าใช้จ่ายรายละ 1-3 แสนบาทต่ออายุที่ต่อ 1 ปี และนายหน้าที่แนะนำจะได้ส่วนแบ่ง 20%
ชูวิทย์กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลที่รวบรวมมาได้เมื่อปี 2563-2564 มีคนจีน 3,325 ราย ที่ยื่นขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าเฉพาะผ่านมูลนิธิแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งจำนวนสูงผิดปกติ สถิติในปี 2565 เป็นต้นมา การยื่นเรื่องไม่เกิน 400 ราย และเมื่อเทียบสัดส่วนมูลนิธิที่แจ้งเปลี่ยนวีซ่าให้กับคนจีนทั้งหมด มูลนิธิแห่งนี้คิดเป็นร้อยละ 58 จากทั้งหมด
การตรวจสอบครั้งนี้ชูวิทย์ได้ส่งทีมงานไปตรวจสอบที่ตั้งของมูลนิธิที่จังหวัดขอนแก่น ปรากฏว่าเป็นเพียงบ้านเล็กๆ ในหมู่บ้านจัดสรรธรรมดา จึงเป็นที่สังเกตว่าจะเป็นที่ทำงานของคนกว่า 3,000 คนได้อย่างไร
ชูวิทย์กล่าวอีกว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบอย่าง สตม. และผู้ที่มีอำนาจในการเปลี่ยนประเภทวีซ่า คือผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 4 และ 5 ในห้วงปี 2563-2564 คือ พล.ต.ต. ด, พล.ต.ต. ก และ พล.ต.ต. ณ จะต้องรับทราบ โดยปรากฏว่าสองรายแรกเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบในคดีธุรกิจจีนสีเทาด้วย
ชูวิทย์กล่าวต่อไป ฉะนั้นแล้ว พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล้าที่จะตรวจสอบเพื่อนร่วมรุ่นตัวเองหรือไม่
ส่วนประเด็นที่ สันธนะ ประยูรรัตน์ กล่าวอ้างว่าชูวิทย์ตกแต่งบัญชี เลี่ยงการจ่ายภาษี ชูวิทย์กล่าวยอมรับว่า การทำการค้าต้องมีการกู้เงินจากธนาคารเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาตนเองได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ตรวจสอบตั้งแต่เล่นการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว กลับกันสันธนะจะมารู้รายละเอียดเรื่องนี้และตรวจสอบตัวเองได้อย่างไร
พร้อมกันนี้ชูวิทย์ยอมรับว่ามีความสนิทสนมกับอดีตผู้บัญชาการทหารบกที่มาร่วมงานแต่งของลูกชาย ว่ารู้จักกันมานานกว่า 30 ปี ท่านไม่เกี่ยวข้องกับการเผยข้อมูลเรื่องทุนจีนสีเทานี้ และไม่ได้อยู่เบื้องหลังใดๆ
โดยหลังจากนี้ชูวิทย์จะเปิดเผยประเด็นสมาคมเถื่อนที่ทำหน้าที่แนะนำให้คนจีนที่เข้ามาในประเทศรู้จักกับคนที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย รวมถึงขบวนการอุ้มท้องซื้อพ่อ