สกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ออกมาเรียกร้องให้มีการจำกัดบทบาทของโซเชียลมีเดียทั่วโลก หลังเกิดเหตุกราดยิงมัสยิด 2 แห่งในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ จนมีผู้เสียชีวิต 50 ราย โดยที่มือปืนได้ใช้ช่องทางเฟซบุ๊กไลฟ์สตรีมในการแพร่ภาพสดขณะก่อการร้าย จนสร้างความสะเทือนขวัญไปทั่วโลกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 มี.ค.)
เหตุวินาศกรรมในไครสต์เชิร์ชทำให้เฟซบุ๊กและบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากกรณีที่ไม่สามารถบล็อกการไลฟ์สตรีมของมือปืนได้ตั้งแต่แรก ขณะที่มอร์ริสันได้ส่งจดหมายถึง ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในฐานะประธานกลุ่ม G20 ปีนี้ โดยขอให้บรรดาผู้นำร่วมหารือในประเด็นโซเชียลมีเดียบนเวทีประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ที่เมืองโอซาก้า ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้
ในจดหมาย มอร์ริสันระบุว่า เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตดำเนินบทบาทที่ไร้ขอบเขตจำกัด จนทำให้ลัทธิหัวรุนแรงขยายตัว ดังนั้นจึงขอให้ผู้นำ G20 ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และหารือถึงมาตรการสำหรับแพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกกลุ่มก่อการร้ายให้บรรลุเป้าประสงค์ แทนที่จะมุ่งลงโทษผู้ก่อการร้ายเพียงอย่างเดียว
จากกรณีดังกล่าว เฟซบุ๊กเปิดเผยผ่านแถลงการณ์ว่า วิดีโอเหตุการณ์ครั้งนี้มียอดรับชมไม่ถึง 200 วิวในระหว่างการแพร่ภาพสด และทางบริษัทได้บล็อกวิดีโอหลังจากที่ไลฟ์สตรีมนาน 17 นาที โดยมีผู้ใช้คนแรกที่ส่งรีพอร์ตเข้ามาหลังจากที่ไลฟ์สตรีมยุติไปแล้ว 12 นาที
ถึงแม้วิดีโอต้นฉบับจะถูกลบไปแล้ว แต่ยังมีวิดีโอที่ถูกคัดลอกและแชร์ต่ออย่างรวดเร็วผ่านทางแพลตฟอร์มยูทูบและทวิตเตอร์ด้วย
เฟซบุ๊กระบุว่า ได้ลบวิดีโอจำนวนกว่า 1.5 ล้านก๊อบปี้ในวันแรกที่เกิดเหตุสะเทือนขวัญ และได้บล็อกการอัปโหลดวิดีโออีก 1.2 ล้านครั้ง
นอกจากมอร์ริสันแล้ว ผู้นำฝ่ายค้านของออสเตรเลียอย่าง บิล ชอร์เทน ก็ออกมาเตือนด้วยว่า อินเทอร์เน็ตได้มอบช่องทางการแพร่ Hate Speech หรือการปลุกกระแสความจงเกลียดจงชังชาวมุสลิมหรือคนผิวสีของคนผิวขาวสุดโต่ง ที่เชื่อในความเหนือกว่าชนชาติอื่นๆ (Supremacist) พร้อมเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีดำเนินมาตรการมากขึ้นเพื่อยุติสิ่งเหล่านี้
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
