ตลาดหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักและตลาดอสังหาที่ฟองสบู่เริ่มแตก ผลักให้นักลงทุนจีนหันมาฝากเงินในธนาคารเพิ่มขึ้นแตะ 16.3 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อหนีความเสี่ยงจากการขาดทุนสินทรัพย์เสี่ยงที่เคยสร้างผลตอบแทนที่ร้อนแรงในอดีต
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ณ สิ้นเดือนเมษายน 2022 มูลค่าบัญชีเงินฝากในธนาคารจีนเพิ่มขึ้นมาแตะที่ 109.2 ล้านล้านหยวน (16.3 ล้านล้านดอลลาร์) คิดป็นการปรับเพิ่มขึ้น 7% ในระยะเวลาเพียง 4 เดือน ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เงินฝากมีการขยายตัวขึ้น 5.5% ตัวเลขนี้สะท้อนว่าชาวจีนกำลังหันไปฝากเงินธนาคาร เพื่อหนีความเสี่ยงจากการลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเป็นสินทรัพย์เฟื่องฟูในอดีต
ตลอด 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจจีนขยายตัวอย่างรวดเร็ว ชาวจีนนิยมสั่งสมความมั่งคั่งด้วยการเอาเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักประกันที่มั่นคงที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ในจีน เพราะระบบบำเหน็จบำนาญของรัฐขาดประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความมั่งคั่งของจีนกว่า 70% นั้นผูกอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ และที่เหลือจะนำไปลงทุนในตลาดหุ้น อย่างไ้รก็ตาม บริบทตลาดทุนและสภาพเศรษฐกิจที่ปลี่ยนไป ทำให้ชาวจีนต้องปรับแผนการบริหารความมั่งคั่งของตัวเอง
ภาพรวมการลงทุนในจีนเริ่มผกผันไปตั้งแต่ปี 2021 ที่รัฐบาลจีนพยายามสกัดการปล่อยสินเชื่อและการเก็งกำไรที่มากเกินไปในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต้องผิดนัดชำระหนี้ หนึ่งในนั้นคือ China Evergrande ซึ่งฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนและส่งผลให้ราคาขายบ้านใหม่ดิ่งลง นอกจากนี้ ยังส่งผลให้อัตราการเติบโตของเงินกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2022
โดยราคาบ้านในจีนร่วงลงตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2021 ส่วนตลาดหุ้นจีนและกองทุนรวมก็ไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดี โดยตลาดหุ้นจีนยังอยู่ในภาวะตลาดหมี (Bear Market) ส่วนดัชนี CSI 300 ปรับลดลงไปแล้ว 18% นับจากต้นปี (YTD) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero COVID) ที่เข้มงวด
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นต่างประเทศก็มีช่องทางให้เข้าถึงได้น้อย ส่วนการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีก็เป็นสิ่งผิดกฎหมายในจีน แรงกดดันเหล่านี้ทำให้ชาวจีนหันไปเก็บเงินในบัญชีเงินฝากกันเพิ่มขึ้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะยังคงอยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ก็ตาม
แฮร์รี่ คอง (Harry Kong) ผู้บริหารธนาคารในเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า กำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นหายไปจนหมดเกลี้ยง ซึ่งเรียกได้ว่าตลาดหุ้นปีนี้เป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 20 ปี
“สิ่งที่ทำได้ในปีนี้คืออยู่นิ่งๆ และนำเงินออมไปฝากไว้ในธนาคารขนาดใหญ่
“ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะต่ำแค่ไหน อย่างน้อยก็ปลอดภัย” คองกล่าว
คองและนักลงทุนจีนคนอื่นๆ กำลังใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากและไม่แน่นอนที่สุดสำหรับในการวางแผนสำหรับอนาคต เนื่องจากข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในยุคการแพร่ระบาดของโควิด รวมถึงการล็อกดาวน์เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศซึ่งยังไม่มีจุดสิ้นสุดที่แน่นอน
ด้าน คลอว์ด หยิน (Clawde Yin) นักลงทุนชาวเซี่ยงไฮ้วัย 45 ปี กล่าวว่า ตอนนี้ไม่มีทางเลือกใดดีไปกว่าการรอดูความชัดเจน ทั้งนี้ เงินออมของหยินเกือบ 90% อยู่ในพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ ส่วนที่เหลืออยู่ในหุ้น แม้จะมีความไม่แน่นอนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่หยินยืนยันว่าจะยังไม่กลับเข้าสู่ตลาดหุ้น
ความรู้สึกกังวลใจของบรรดานักลงทุนจีน ทำให้เงินฝากออมทรัพย์ในธนาคารของจีนเพิ่มเป็น 109.2 ล้านล้านหยวน (ราว 16.3 ล้านล้านดอลลาร์) ณ สิ้นเดือนเมษายน เงินฝากในจีนซึ่งมีอัตราการออมสูงที่สุดในโลกอยู่แล้ว เพิ่มขึ้น 7% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี เทียบกับ 5.5% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
สำหรับแนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจของจีนนั้น นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวกว่า 4% ขณะที่นักวิเคราะห์ของ Bloomberg คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 2% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 5.5%
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของการตกต่ำของตลาด เกิดจากการที่ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ได้ผลักดันความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ซึ่งเป็นการรณรงค์อย่างกว้างขวางที่นำไปสู่การปราบปรามในบางอุตสาหกรรมและชนชั้นสูงของจีนบางส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การเคลื่อนไหวของสีบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และผลาญมูลค่าตลาดอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP