จบทริปด้วยความประทับใจกับเอ็กซ์คลูซีฟทริป ‘Unveiling the Journey of Bridging History in China’ ซึ่งเป็นแพ็กเกจทัวร์ที่เดอะวิสดอมกสิกรไทยจัดขึ้นเป็นพิเศษและประสบความสำเร็จ โดยได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมากและตอบรับร่วมเดินทางระหว่างวันที่ 3-9 พฤศจิกายน 2024 สู่แดนมังกร ท่อง 4 เมืองประวัติศาสตร์ ได้แก่ เซี่ยงไฮ้, หลินไห่, อู่เจิ้น และซ่างเหรา โดยมี ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน นักเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ ร่วมเดินทางและเป็นวิทยากรเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจีนกว่า 5,000 ปี
พงศกร ล่ำซำ Senior Managing Director, Private Banking Business Head ธนาคารกสิกรไทย เล่าว่า โปรแกรมท่องเที่ยวในสาธารณรัฐประชาชนจีนนี้ เดอะวิสดอมกสิกรไทยจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบการเดินทางและสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์
“สถานที่ท่องเที่ยวในทริปนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A เราพาทุกคนสัมผัสกับประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจีน โดยมี ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ร่วมเป็นวิทยากรพิเศษตลอดทริป เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์จีนจากอดีตจนเข้าสู่ยุคมังกรผงาด ทุกคนจะได้สัมผัสเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ที่พัฒนามากที่สุดทั้งด้านเศรษฐกิจและยังเป็นเมืองที่มีอิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมของประเทศ รวมถึงได้เดินทางผ่านเส้นทางที่เชื่อมโยงเมืองแห่งวัฒนธรรมในอดีตที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของจีน”
ประวัติศาสตร์เมืองหลวงจีน
ดร.วิทย์ พาย้อนกลับไปสู่อดีตตั้งแต่การสถาปนาเมืองหลวงเก่าแก่ของจีนที่เกิดขึ้นในแต่ละราชวงศ์ ได้แก่
- เมืองฉางอัน 长安 หรือซีอาน 西安 เป็นเมืองหลวงราชวงศ์ฮั่น รวมถึงต้าถัง ฉางอัน แปลว่าสันติภาพที่ยืนยาว เมืองที่รุ่งเรืองยาวนานครอบคลุมหลายราชวงศ์ ปัจจุบันอยู่ในมณฑลซานซี
- เมืองลั่วหยาง 洛阳 เมื่อยุคฮั่นตะวันตกก็เกิดกบฏ จึงได้ย้ายเมืองหลวงจีนจากเมืองฉางอันมาสู่เมืองลั่วหยาง ตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนาน
- เมืองไคเฟิง 开封 เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยราชวงศ์ซ่ง อยู่ในมณฑลเหอหนาน
- เมืองหนานจิง 南京 หรือนานกิง เมื่อราชวงศ์ซ่งเริ่มอ่อนแอ มีการย้ายเมืองหลวงจากทางตอนเหนือของประเทศลงมาทางใต้ที่เมืองหนานจิง
- ปักกิ่ง 北京 เมืองหลวงจีนในปัจจุบัน โดยราชวงศ์หยวนได้สถาปนาเมืองปักกิ่งเป็นเมืองหลวง ภายหลังยุคหมิงมีการก่อสร้างสถาปัตยกรรมมากมายที่สร้างต่อมาถึงยุคชิง เช่น พระราชวังหลวง หรือพระราชวังต้องห้าม และพระราชวังฤดูร้อน
ปี 1971 มังกรผงาดบนเวทีเศรษฐกิจโลก
ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของจีนภายใต้การนำของผู้นำตั้งแต่ยุคเหมาเจ๋อตงจนถึงยุคสีจิ้นผิงในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนฉากทัศน์จากประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะยากจนข้นแค้นสู่ประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลก
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นภายใต้การนำของเจียงเจ๋อหมิน ประธานาธิบดีในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านจากปลายทศวรรษที่ 1980 สู่สหัสวรรษใหม่ (ปี 1999-2003) ในวันที่ 25 ตุลาคม 1971 การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 26 ผ่านมติ 2758 (Resolution 2758) ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนท่วมท้นให้ฟื้นคืนสิทธิอันชอบธรรมทุกประการของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยให้การรับรองว่าผู้แทน ‘รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน’ เป็นผู้แทนที่ชอบด้วยกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวของจีนในสหประชาชาติ แทนที่ ‘จีนคณะชาติ’ ส่งผลให้จีนกลับมาผงาดและมีบทบาทบนเวทีโลกในฐานะ ‘สมาชิกสหประชาชาติโดยชอบธรรม’
ว่ากันว่ายุทธศาสตร์สำคัญของจีนในยุคนั้นคือ ‘Go Out Strategy’ หรือกลยุทธ์ออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (ปี 2001-2005) โดยมีกลยุทธ์สำคัญคือการสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจจีนและนักธุรกิจออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น มีการจัดตั้งหน่วยงานและกองทุนสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ โดยเน้นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากร และโครงการด้านการพัฒนาเทคโนโลยี
ในปี 2001 จีนเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) การเข้าสู่โลกการค้าและเขตเศรษฐกิจทำให้จีนสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศสมาชิกได้มากขึ้น และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ไม่เพียงส่งผลให้จีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก แต่ยังช่วยลดความยากจนในจีนด้วย
เซี่ยงไฮ้, หลินไห่, อู่เจิ้น และซ่างเหรา 4 เมืองประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงด้วยรถไฟความเร็วสูง
ตลอดโปรแกรมการเดินทางใน 4 เมืองประวัติศาสตร์ ได้แก่ เซี่ยงไฮ้, หลินไห่, อู่เจิ้น และซ่างเหรา จะเชื่อมโยงด้วยเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ดร.วิทย์ บอกว่า การพัฒนารถไฟความเร็วสูงของจีนเป็นเรื่อง ‘บูรณภาพแห่งรัฐ’
“จีนพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในระบบราง สะพานยาว และอุโมงค์ เพื่อขยายโครงสร้างการขนส่งที่มีประสิทธิภาพไปยังพื้นที่ห่างไกล ไม่เพียงใช้เพื่อการคมนาคมสำหรับประชาชน ขนส่งสินค้า และลำเลียงพล แต่เป็นระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตนำจีนไปสู่ความทันสมัย”
ปัจจุบันจีนมีโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ให้บริการครอบคลุมทุกมณฑลและเขตปกครองตนเองอีก 4 เขต เป็นระยะทางกว่า 155,500 กิโลเมตร ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงระยะทาง 45,000 กิโลเมตร
เซี่ยงไฮ้: มหานครติดสปีดสู่เมืองแห่งอนาคต
เมืองแรกที่ได้ไปเยือนคือ ‘เซี่ยงไฮ้’ เมืองท่าฝั่งตะวันออกของจีนแผ่นดินใหญ่ที่ได้รับสมญานามว่า ‘ปารีสแห่งตะวันออก’ ซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 เมืองที่มีความมั่งคั่งมากที่สุดในโลกประจำปี 2023
สีจิ้นผิง ผู้นำของจีน เคยกล่าวไว้ว่า “หากอยากดูประวัติศาสตร์ 100 ปี ให้มาดูที่เซี่ยงไฮ้”
ดร.วิทย์ เล่าว่า ในอดีต ‘ชางไฮ่’ หรือ ‘เซี่ยงไฮ้’ เป็นหมู่บ้านชาวประมง หลังจากจีนพ่ายแพ้ต่อกองทัพของควีนวิกตอเรียในสงครามฝิ่นปี 1842 ดินแดนแห่งนี้ก็ถูกยึดครองโดยชาติตะวันตกภายใต้สนธิสัญญา ‘นานกิง’ ส่งผลให้จีนต้องเปิดเมืองท่า 5 แห่งให้อังกฤษเช่าพื้นที่ เซี่ยงไฮ้จึงเต็มไปด้วยชาวตะวันตกในช่วงเวลานั้น
ขณะที่ผู้ร่วมทริปยืนอยู่ตรงที่ตั้งของเดอะบันด์ (The Bund) อดีตท่าเรือทางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของจีน ดร.วิทย์ เล่าว่า ‘แม่น้ำหวงผู่’ ที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้มีความยาว 1.5 กิโลเมตร เป็นเส้นกั้นแบ่งความแตกต่างระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่
“ฝั่งที่ตั้งของเดอะบันด์คือฝั่งตะวันตกเรียกว่า ‘ผู่ซี’ (Puxi) เป็นเมืองเก่าสมัยเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้รุ่งเรือง ในอดีตเป็นท่าเรือสำคัญของเซี่ยงไฮ้ จึงเต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตกโบราณอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของบริษัทยักษ์ใหญ่ ธนาคารชั้นนำ รวมถึงสถานกงสุลของประเทศต่างๆ”
“ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเรียกว่า ‘ผู่ตง’ (Pudong) เป็นเมืองพัฒนาใหม่ในยุคนโยบาย ‘4 ทันสมัยใหม่’ ของเติ้งเสี่ยวผิง ที่ต้องการผลักดันให้เซี่ยงไฮ้ก้าวเป็นศูนย์กลางของโลกใน 4 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจ, การค้า, การเงิน และการเดินเรือ จึงได้เห็นตึกสูงทันสมัยติดอันดับโลกเบียดเสียดระฟ้า เป็นเหมือนประจักษ์พยานสะท้อนภาพการเติบโตและอนาคตของมหานครเซี่ยงไฮ้ โดยมีตึกที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้ในปัจจุบันอยู่ด้วยนั่นก็คือ ‘หอไข่มุกตะวันออก’ (Shanghai Oriental Pearl Tower)”
หลินไห่: พื้นที่ท่องเที่ยวในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี
หลินไห่ เมืองชายฝั่งโบราณในมณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน เป็นเมืองท่าทางการค้าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจีนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ ‘ถนนจื่อหยาง’ ถนนโบราณสายแรกในเมืองหลินไห่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปี สร้างขึ้นในสมัยสามก๊ก ในอดีตเคยเป็นถนนการค้าที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด เป็นสถานที่ที่นักธุรกิจและผู้คนมารวมตัวกัน
นอกจากนี้หลินไห่ยังเป็นเมืองแรกๆ ของเมืองท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางมาเที่ยวด้วยรถไฟความเร็วสูงในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมมณฑลเจียงซู, เจ้อเจียง, อันฮุย และนครเซี่ยงไฮ้ ประกอบกับนโยบายพัฒนาวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแบบผสมผสาน ส่งผลให้หลินไห่ เมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีแห่งนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว
ดร.วิทย์ เล่าว่า กำแพงเมืองพระราชวังไทโจว เมืองหลินไห่ หรือที่เรียกว่ากำแพงเจียงหนาน เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ถูกยกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 4A สร้างขึ้นในปีที่ 51 ของจักรพรรดิคังซี (ปี 1712) ความยาวมากกว่า 6,000 เมตร โดยมีจุดเริ่มต้นจากทางทิศตะวันออกที่ประตูหล่านเซิ้ง ทอดยาวไปตามแนวสันเขาของภูเขาเป่ยกู้จนถึงศาลาเหยียนเซียด้านทิศตะวันตก ทอดมาถึงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำซึ่งอยู่ระหว่างโขดหินสูงชัน และทอดตัวไปยังเชิงเขาทางตะวันตก บางช่วงของกำแพงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำหลิ่ง
อูเจิ้น: เมืองสายน้ำโบราณ แหล่งท่องเที่ยวของมณฑลเจ้อเจียง
ไม่แปลกหากใครจะนิยาม ‘หมู่บ้านอูเจิ้น’ ว่าเป็นเวนิสโบราณแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ ชุมชนโบราณริมน้ำแห่งนี้มีอารยธรรมยาวนานกว่า 7,000 ปี ตั้งอยู่ในเมืองถงเซียง มณฑลเจ้อเจียง ริมคลองขุด ‘ต้ายุ่นเหอ’ ซึ่งเป็นคลองขุดที่ยาวที่สุดของโลก
แต่เดิมชุมชนแห่งนี้สัญจรทางน้ำผ่านลำคลองแทนการใช้ถนน น่ายินดีที่ทุกอย่างยังคงถูกอนุรักษ์ความเก่าตามแบบฉบับจีนโบราณ ไม่ว่าจะเป็นการสัญจรทางน้ำ สถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณ สะพาน หรือร้านค้า แม้จะถูกพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร คาเฟ่ หรือที่พัก แต่ยังคงกลิ่นอายของหมู่บ้านจีนโบราณได้อย่างยอดเยี่ยม ว่ากันว่าในอดีตอูเจิ้นเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียงและสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของจีนอีกด้วย
ซ่างเหรา: เมืองแห่งการพัฒนาในมณฑลเจียงซี
หมุดหมายปลายทางสุดท้ายของทริปนี้ถูกปักไว้ที่ ‘ซ่างเหรา’ 1 ใน 11 เมืองของการพัฒนามณฑลเจียงซี ถูกยกให้เป็นเมืองแห่งเทคโนโลยีที่มีเศรษฐกิจเจริญเติบโตสูงเป็นอันดับต้นๆ ของมณฑลเจียงซี
ซ่างเหราเป็นฐานการผลิตเลนส์ทางทัศนศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นที่ตั้งของ บริษัท Phenix Optics Group ซึ่งเป็นวิสาหกิจนำร่องการผลิตอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์รายใหญ่ที่สุดของจีน และเป็นผู้ผลิตเลนส์ปริมาณมากที่สุดของโลก
แต่ถ้าพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก ‘หุบเขาเทวดาวั้งเซียนกู่’ ที่ใครมาเห็นต่างก็ยกให้เป็นสวรรค์บนดิน เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย มีลักษณะเป็นหุบเขาทอดยาวไปตามแนวแม่น้ำซงจู๋ มีภูเขาหินปูนที่สลับซับซ้อน สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร
จุดเด่นคือหมู่บ้านโบราณที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา เหตุเพราะในอดีตการสร้างบ้านอยู่บนที่สูงและเข้าถึงยากเป็นการป้องกันตัวจากศัตรูและสัตว์ป่าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งโดยรอบยังรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากป่าไม้ ภูเขา ทุ่งหญ้า และหน้าผาหินปูนแล้ว ยังมีน้ำตกที่สูงกว่า 100 เมตรที่งดงามให้ได้ชมกัน
เชื่อแน่ว่าผู้ร่วมทริปทุกคนจะเต็มอิ่มไปกับความงดงามของสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A ที่เดอะวิสดอมกสิกรไทยคัดสรรมาเป็นอย่างดี เหนือสิ่งอื่นใดคือเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เล่าผ่าน ดร.วิทย์ นักเล่าเรื่องที่ยอมรับเต็มอกว่าเป็นแฟนประวัติศาสตร์จีนมาตั้งแต่เด็ก
อ้างอิง: