×

ส่องแนวโน้ม ‘หุ้นจีน’ ถึงจังหวะเข้าลงทุนแล้วหรือยัง?

20.02.2022
  • LOADING...
ส่องแนวโน้ม ‘หุ้นจีน’ ถึงจังหวะเข้าลงทุนแล้วหรือยัง?

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามุมมองต่อตลาดหุ้นจีนอาจจะไม่ค่อยดีนัก สะท้อนจากดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นจีน เช่น China A50 หรือ MSCI China ต่างปรับตัวลง 24% และ 29% ตามลำดับ และในช่วง 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมา ทั้งสองดัชนีก็ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องประมาณ 2-3% จากปลายปีก่อน

 

ปัจจัยหลักที่กดดันหุ้นจีนให้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องคือการที่รัฐบาลหันมาคุมเข้มในแต่ละธุรกิจมากขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปะทุขึ้นมาระหว่างทาง 

 

อย่างไรก็ตาม มุมมองต่อตลาดหุ้นจีนเริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน โดยเฉพาะล่าสุดที่บรรดาสถาบันการเงินและบริษัทจัดการการลงทุนยักษ์ใหญ่หลายแห่ง เช่น Goldman Sachs, Credit Suisse และ BlackRock เป็นต้น เริ่มมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนมากขึ้น เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในไทยที่เริ่มมองไปในทิศทางเดียวกัน

 

ณัฏฐะ มหัทธนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาหุ้นจีนปรับฐานลงมาเพราะรัฐบาลเข้ามากำหนดวัฏจักรเศรษฐกิจของตัวเอง หลังจากมีนโยบาย ‘ปัดกวาดบ้าน’ ผ่านการปฏิรูปในด้านต่างๆ ทั้งเทคโนโลยี การศึกษา และสุขภาพ ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอลง 

 

เมื่อถึงจุดหนึ่งรัฐบาลจีนก็จำเป็นจะต้องกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยมีตัวชี้วัดที่สำคัญคือตัวเลขการว่างงาน “หากตัวเลขการว่างงานสูงเกินไป ถึงจุดหนึ่งประชาชนจะลุกฮือ ทำให้รัฐบาลต้องกลับไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2564 ซึ่งรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายทางการเงิน”

 

การผ่อนคลายทางการเงินของจีนดำเนินการเครื่องมือสำคัญ 3 ตัว คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR), อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ (RRR) 

 

ทั้ง 3 ตัวเหมือนเป็นน้ำมันหล่อลื่นให้เศรษฐกิจเดินหน้า แต่ตัวขับเคลื่อนสำคัญคือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและภาคการผลิตเพื่อเน้นการบริโภคในประเทศ อย่างต้นปีที่ผ่านมาทางการจีนก็ยอมผ่อนปรนเรื่องนโยบายลดการปล่อยคาร์บอนลง เพื่อกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนภาพระยะยาวคงต้องกลับไปดูแผน 5 ปีของจีน ซึ่งจะเน้นไปทางด้านพลังงานสะอาดเป็นสำคัญ

 

“มูลค่าของหุ้นจีน 70% มาจากหุ้น A-Share ขณะที่สัดส่วนของหุ้น A-Share ใน MSCI China มีเพียงแค่ 30% เท่านั้น” ณัฏฐะมองว่าปัจจุบันหุ้นจีน A-Share ยังอยู่ในพอร์ตของนักลงทุนทั่วโลกน้อยเกินไป และในระยะยาว MSCI มีโอกาสที่จะเพิ่มสัดส่วนของหุ้นจีน A-Share เข้าไปในดัชนีอ้างอิงมากขึ้น

 

หุ้นในกลุ่ม A-Share ที่น่าสนใจจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐ อย่างกลุ่มยานยนต์และแบตเตอรี่ไฟฟ้า

 

ส่วนหุ้นในกลุ่ม H-Share ที่น่าสนใจจะมี 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

 

  1. เทคโนโลยี เช่น Alibaba, Tencent และ Meituan ซึ่งราคาลดลงมามากจนเกิดเป็นโอกาส แม้ตอนนี้หุ้นกลุ่มนี้จะเผชิญกับความไม่แน่นอนของนโยบาย แต่ท้ายที่สุดจะเห็นการปรับตัวเข้าสู่ระเบียบใหม่และชัดเจนในที่สุด หุ้นกลุ่มนี้มีศักยภาพเติบโตได้ต่อ และระดับราคาอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ 

 

“ปกติหุ้นเติบโตมักจะราคาแพง แต่ราคาถูกหาได้ในจีน” 

 

  1. หุ้นจีนในฮ่องกงเป็นหุ้นวัฏจักร และ Old Economy ซึ่งจะได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 

 

ปัจจุบันปัจจัยบวกในตลาดหุ้นจีนเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความเสี่ยงก็เผยให้เห็นอยู่ชัดเจนแล้ว สิ่งที่ขาดไปคืออารมณ์ของนักลงทุนและปัจจัยที่จะ ‘จุดพลุ’ บางอย่าง

 

“เงินลงทุนใหม่ที่ไหลเข้ามาในตลาดน่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ โดยเฉพาะจากตลาดที่ราคาหุ้นแพง เมื่อต้นทุนของเงินสูงขึ้น คนจะเริ่มขายของแพงไปหาซื้อของถูก ซึ่งก็รวมถึงหุ้นเทคจีน”  

 

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงสำคัญของนักลงทุนคือการที่อาจจะถือหุ้นจีนในสัดส่วนที่มากเกินไป จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานี้ สัดส่วนที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ราว 15-20% ของพอร์ต 

 

นอกจากหุ้นจีนแล้ว ตราสารหนี้จีนเองก็เป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจในปัจจุบัน ด้วยผลตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างมากในจังหวะที่ราคาปรับตัวลง โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งนักลงทุนอาจจะพิจารณาจากบริษัทที่มีความเสี่ยงเรื่องหนี้ไม่มากจนเกินไป 

 

ในระยะสั้น หุ้น H-Share อาจฟื้นได้ก่อน

วิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เราได้ปรับน้ำหนักหุ้นจีนขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเริ่มเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า โดยเฉพาะหุ้น H-Share ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข่าวร้ายจากการคุมเข้มของรัฐบาลจีน รวมถึงความเสี่ยงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้กระจายวงกว้าง 

 

“ช่วงที่ผ่ามาหุ้นกลุ่ม H-Share ฟื้นได้ก่อน ในขณะที่ A-Share ย่ำอยู่กับที่ ส่วนระยะยาวเชื่อว่าทั้ง H-Share และ A-Share ต่างน่าสนใจ โดยนักลงทุนอาจจะเข้าลงทุนทั้ง 2 ส่วนรวมเป็น 20-30% ของพอร์ตหุ้น”

 

ด้าน วิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ Vice President Market Solution, Private Wealth Management ธนาคารกรุงไทย มองว่า การเติบโตของกำไรหุ้นจีนยังทำได้ต่อเนื่อง ขณะที่ Valuation ค่อนข้างถูกเทียบกับหุ้นในสหรัฐฯ ยุโรป หรือแม้แต่ญี่ปุ่น 

 

“ปีนี้หุ้นเทคถูกเทขายต่อเนื่อง ทำให้ตลาดจีนกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการหา Value Stock โดยเฉพาะหุ้น H-Share ที่ได้แรงหนุนจาก Fund Flow ระยะสั้นที่หมุนเข้าหา Value Play”

 

ทั้งนี้ หุ้นจีนที่น่าสนใจคือกลุ่มพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า และเซมิคอนดักเตอร์ โดยสัดส่วนที่เหมาะสมอาจจะอยู่ที่ราว 10-15% ของพอร์ต 

 

จังหวะเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน!

 

จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) มองว่า เราเริ่มเห็นมุมมองบวกต่อหุ้นจีนตั้งแต่ปลายปีก่อน ที่ผ่านมาคนพูดถึงจีนกันตลอด แต่ปัญหาคือ ควรจะเข้าลงทุนตอนนี้เลยหรือไม่?

 

หากซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวโดยไม่สนใจอะไรเลยก็อาจเป็นเหมือนปีก่อน ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนยังไม่ได้กลับไปเฟื่องฟู อาจเห็นการเติบโตไม่ถึง 5% หรือเรื่องกฎเกณฑ์ก็ยังไม่จบลงอย่างสมบูรณ์ ส่วน Valuation ก็ไม่ได้ถูกที่สุดในภูมิภาค แม้ว่าดัชนีอย่าง CSI 300 จะทำจุดต่ำสุดในรอบปี 

 

“ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าน่าสนใจหรือไม่ แต่ปัญหาคือยังขาดปัจจัยกระตุ้น ซึ่งส่วนนี้อาจต้องรอหลังการประชุมเศรษฐกิจของจีนในเดือนมีนาคม ซึ่งปกติจะเริ่มเห็นสัญญาณเรื่องของนโยบายว่าจะไปทิศทางใด” 

 

นอกจากนี้ความชัดเจนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยและการลดขนาดงบดุลก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่จะส่งผลต่อภาพการลงทุนในจีน

 

 

ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising