×

จีนลดถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน เหลือเพียง 8.2 แสนล้านดอลลาร์ ต่ำสุดในรอบ 14 ปี

20.09.2023
  • LOADING...

กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลล่าสุดพบว่า จีน ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ได้ลดการถือครองพันธบัตรเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันในเดือนกรกฎาคม เหลือ 8.218 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี 

 

บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างแสดงความเห็นว่า การลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ของจีนไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึงแต่อย่างใด ทั้งในแง่กลยุทธ์ระหว่างประเทศหรือนโยบายทางการเงิน สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2024 บวกกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาว เนื่องจากประเทศต่างๆ มองหาสกุลเงินมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง

 

รายงานระบุว่า จีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ไว้ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 ก่อนที่จีนจะเริ่มหั่นการถือครองลงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2022  – กุมภาพันธ์ 2023 โดยจีนเพิ่มการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เล็กน้อยในเดือนมีนาคมที่ 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะลดลงอีกครั้งในเดือนเมษายน

 

ปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด และเพิ่งจะเพิ่มการถือครองในเดือนกรกฎาคมเป็น 1.112 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากเดือนมิถุนายน ขณะที่สหราชอาณาจักรยังคงเป็นผู้ถือครองรายใหญ่อันดับ 3 ด้วยมูลค่า 6.624 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

แถลงการณ์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ยอดรวมการเข้าซื้อหลักทรัพย์ระยะยาว หลักทรัพย์ระยะสั้น และกระแสเงินหมุนเวียน จากสถาบันการเงินจากต่างประเทศที่ไหลเข้าสหรัฐฯ ทั้งหมดในเดือนกรกฎาคมแตะ 1.406 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กระแสการไหลเข้าของเอกชนต่างประเทศสุทธิอยู่ที่ 1.494 แสนล้านดอลลาร์ และการไหลออกของทางการต่างประเทศสุทธิอยู่ที่ 8.8 พันล้านดอลลาร์

 

ตงเฉาเผิง นักวิจัยอาวุโสของสถาบัน Chongyang Institute for Financial Studies แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีน กล่าวว่า การลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ของจีนอย่างต่อเนื่อง เป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะชะลอตัวลงและกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า บวกกับอิทธิพลครอบงำตลาดของสกุลเงินดอลลาร์ที่ลดทอนลงเรื่อยๆ รวมทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้จีนต้องกระจายความเสี่ยง 

 

ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญยังมองว่าการลดสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ของจีนจะไม่ส่งผลกระทบต่อทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน โดยข้อมูลจากสำนักงานบริหารการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของจีนแสดงให้เห็นว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 3.2043 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนมิถุนายน ซึ่งนับเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 เดือนติดต่อกัน 

 

จีน-รัสเซีย เดินหน้าสานสัมพันธ์ 

 

รายงานข่าวระบุว่า นิโคไล ปาตรูเชฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงของรัสเซีย และเป็นคนสนิทของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เปิดเผยว่า ผู้นำรัสเซียมีกำหนดเข้าพบประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ในระหว่างการเดินทางเยือนทางกรุงปักกิ่งอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งจะตรงกับการประชุม One Belt, One Road ของจีน นับเป็นทริปการเดินทางไปต่างประเทศของปูตินเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศมีการออกหมายจับปูติน ฐานต้องสงสัยพัวพันการส่งตัวเด็กหลายร้อยคนหรือมากกว่านั้นออกจากยูเครนอย่างผิดกฎหมาย

 

รายงานระบุว่า นิโคไล ปาตรูเชฟ กล่าวกับ หวังอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ในกรุงมอสโก ว่า ผู้นำทั้งสองฝ่ายจะเจรจาทวิภาคีที่กรุงปักกิ่งในเดือนตุลาคม โดยมีเป้าหมายกระชับความร่วมมือให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อเผชิญกับความพยายามคุกคามจากชาติตะวันตก 

 

นอกจากนี้รายงานยังระบุด้วยว่า ประธานาธิบดีปูตินจะเข้าร่วมการประชุม One Belt, One Road ครั้งที่ 3 ตามคำเชิญจากประธานาธิบดีสี ระหว่างที่ผู้นำจีนเยือนกรุงมอสโกในช่วงเดือนมีนาคม

 

ด้าน ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ระบุว่า ในการเดินทางเยือนจีน ประธานาธิบดีปูตินกับประธานาธิบดีสีจะให้ความสำคัญต่อการเพิ่มความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งจะมีการหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ในระดับโลก

 

แม็กซิม เรเชตนิคอฟ รัฐมนตรีเศรษฐกิจรัสเซีย กล่าวระหว่างการเดินทางเยือนจีนเมื่อไม่นานมานี้ว่า ปริมาณการค้าระหว่างรัสเซียกับจีนเพิ่มขึ้น 30% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2023 และตั้งเป้าที่จะเดินหน้ากระชับความร่วมมือสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานและเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ 

 

ขณะที่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา วิลเลียม เบิร์นส์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ หรือ CIA ได้ออกโรงเตือนว่า การที่รัสเซียกำลังพึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รัสเซียเผชิญความเสี่ยงที่จะกลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจ (Economic Colony) ของจีนในอนาคตอันใกล้นี้ 

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising