วันนี้ (13 มิถุนายน) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงผลงานเนื่องในวาระครบรอบ 1 ปีการทำงาน ‘365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน ตามนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี’
ชัชชาติเริ่มต้นกล่าวถึง 5 แนวคิดหลักในการขับเคลื่อนงานกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตั้งแต่ปีแรกและในอีก 3 ปีข้างหน้าว่า กทม. มุ่งเน้นที่จะผลักดันโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) เชื่อมโยงกับการพัฒนาเส้นเลือดฝอย เปลี่ยนวิธีคิดในการทำงานของข้าราชการ กทม. โดยยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูล สร้างความโปร่งใสในการทำงาน เริ่มต้นตั้งแต่แนวคิดของผู้บริหาร และแสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการพัฒนาเมือง
“ขณะนี้ กทม. เริ่มดำเนินการไปแล้ว 211 นโยบาย จากทั้งหมด 226 นโยบาย มีที่ยังไม่ดำเนินการ 11 นโยบาย เพราะรอการประสานงานกับหน่วยงานอื่น เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจเมือง ผลักดันให้เมืองกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค ขณะที่ 4 นโยบายได้ยุติการดำเนินการไป เช่น การทำห้องให้นมบุตร หรือห้องสมุดเคลื่อนที่ตามชุนชน เพราะวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป ซึ่งประชาชนสามารถเข้าไปติดตามความคืบหน้าของทุกนโยบาย กทม. ได้ที่เว็บไซต์ http://openpolicy.bangkok.go.th” ชัชชาติกล่าว
ชัชชาติกล่าวว่า หลักการทำงานในปีแรกจะเป็นปีของการนำนโยบายมาทำ Sandbox หรือต้นแบบ เช่น ในมิติการศึกษาหรือสาธารณสุข เพราะหากนำนโยบายใหม่ไปปฏิบัติกับกรุงเทพฯ ทั้งหมด เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ความเสียหายก็จะรุนแรง เราจึงเริ่มต้นจากการทำต้นแบบเล็กๆ นำแนวคิดนโยบายมาทดสอบก่อน และเมื่อประสบความสำเร็จ ในปีถัดๆ ไปจะเป็นการต่อยอดและขยายผลนโยบายไปสู่การปฏิบัติในวงกว้างมากขึ้น
ในรายละเอียดของการดำเนินนโยบายในแต่ละด้านที่โดดเด่นที่ชัชชาติกล่าวไว้ เช่น
‘ปลอดภัยดี’
กทม. แก้ปัญหาไฟฟ้าดับแล้ว 28,000 ดวง เปลี่ยนเป็นหลอดไฟ LED แล้ว 11,400 ดวง โดยคาดว่าภายใน 2 เดือนนี้จะเปลี่ยนได้ครบ 25,000 ดวง ติดตั้งกล้องป้องกันอาชญากรรมเพิ่ม 160 ตัว และปรับปรุงระบบการขอภาพจากกล้องวงจรปิดให้สามารถขอได้ภายใน 24 ชั่วโมง
‘โปร่งใสดี’
การรายงานปัญหาโดยประชาชนผ่าน Traffy Fondue จากทั้งหมด 3 แสนกว่าเรื่อง กทม. แก้ไปแล้วกว่า 2.1 แสนเรื่อง พร้อมส่งต่ออีกกว่า 60,000 เรื่องให้หน่วยงานอื่นช่วยเข้ามาดูแล เพราะปัญหาทุจริตคอร์รัปชันไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน แต่ยังรวมถึงเวลา หากเราแก้ปัญหาให้ประชาชนล่าช้า มันก็เหมือนเราทุจริตเวลาพวกเขาด้วย
‘เศรษฐกิจดี’
จัดระบบสอบรับคนพิการเข้าเป็นข้าราชการ กทม. โดยตรง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของหน่วยงานรัฐ สามารถสร้างการจ้างงานคนพิการได้แล้ว 9 อัตรา ยังไม่รวมลูกจ้างซึ่งเป็นผู้พิการอีกกว่า 300 ราย ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่มีอยู่ราว 20,000 รายทั่ว กทม. รวมถึงปรับสัดส่วนคณะกรรมการหาบเร่ฯ ให้มีส่วนร่วมจากผู้ค้า ประชาชน และนักวิชาการมากขึ้น
‘เดินทางดี’
ปรับปรุงทางเท้า 221.47 กิโลเมตร เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กด้านล่างให้แข็งแรงขึ้น สร้างมาตรฐานทางเท้าใหม่ ลอกท่อ 7,115.4 กิโลเมตร ลอกคลองและเปิดทางน้ำไหลรวม 2,948 กิโลเมตร ซึ่งประชาชนหลายคนสะท้อนมาว่าฝนตกแล้วน้ำลงเร็ว
‘สิ่งแวดล้อมดี’
ประชาชนและผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการแยกขยะกันแล้วกว่า 6,400 ราย สามารถทำให้ขยะลดลงได้ถึง 300-700 ตันต่อวัน ตรวจค่าฝุ่น 9,291 สถานประกอบการ ตรวจควันดำยานพาหนะแล้วกว่า 1.3 แสนคัน
‘สุขภาพดี’
เพิ่มเวลาการให้บริการศูนย์บริการสาธารณสุข บริการหมอถึงชุมชนผ่านหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เปิดให้บริการหมอทางไกล (Telemedicine) ในโรงพยาบาลสังกัด กทม. แล้ว 11 แห่ง
‘สังคมดี’
เปิดระบบจองการขออนุญาตใช้พื้นที่สาธารณะทำกิจกรรมต่างๆ 21 แห่ง เปิดจุดบริการคนไร้บ้าน ทำให้จำนวนคนไร้บ้านลดลงได้ถึง 490 คน เมื่อเทียบกับตัวเลขปี 2565
‘เรียนดี’
ปรับค่าอาหารกลางวันเด็กจาก 20 เป็น 32 บาท จ้างงานพนักงานธุรการกว่า 300 คน เพื่อช่วยลดภาระงานครูในโรงเรียน แจกผ้าอนามัยฟรี 3.8 แสนชิ้น ให้เด็กกว่า 23,000 คน ติดตั้งคอมพิวเตอร์ 21,000 เครื่องใน 437 โรงเรียน
‘บริหารจัดการดี’
จัดสรรงบฯ ปี 2566 กว่า 5,024 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเส้นเลือดฝอย ยกเลิกข้อบัญญัติที่ล้าสมัยเกี่ยวกับการควบคุมอาคาร 11 ฉบับ ทำประกันอุบัติเหตุให้พนักงานกวาดถนนกว่า 9,000 คน
ดำเนินการประเมินที่ดินใน กทม. แล้ว 99.42% เพื่อจัดเก็บภาษี ทดสอบทำงบฯ ฐานศูนย์ในปี 2567 เริ่มต้นที่ 1,000 ล้านบาท
ในส่วนที่มีประชาชนตั้งคำถามว่า เหตุใด กทม. ไม่มีโครงการขนาดใหญ่เลย ชัชชาติชี้แจงว่า โครงการขนาดใหญ่ไม่ได้ทำได้ภายใน 1 ปี หลายโครงการทำต่อมาตั้งแต่สมัยของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และ พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง
เช่น โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำจากบึงหนองบอน โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองเปรมประชากร คลองบางบัวสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โครงการก่อสร้างทางยกระดับอ่อนนุช-ลาดกระบัง
โดยช่วงหนึ่งของการนำเสนอผลงานตามนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี ชัชชาติกล่าวถึงสัดส่วนรายรับของ กทม. ในปี 2566 แบ่งเป็นรายได้ที่รัฐเก็บให้ 65,000 ล้านบาท รายได้ที่ กทม. จัดเก็บจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอีก 14,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับรายจ่าย กทม. มีรายจ่ายที่ประจำพื้นฐานประมาณ 46,847 ล้านบาท รายจ่ายผูกพัน 14,010 ล้านบาท โครงการงบลงทุนนโยบายผู้บริหาร 18,555 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23%
ทั้งนี้ ยังได้ชี้แจงภาระหนี้สิ้นของ กทม. ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว แบ่งเป็น หนี้ค่าติดตั้งระบบการเดินรถ (E&M) 19,000 ล้านบาท หนี้ค่าเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) 42,400 ล้านบาท และหนี้โครงสร้างพื้นฐาน 50,000 ล้านบาท ทั้งที่ กทม. มีเงินสะสมปลอดภาระผูกพันเพียง 49,837 ล้านบาท ดังนั้นแนวทางการดำเนินโครงการในอนาคตต้องระวังและทำอย่างรอบคอบ
ชัชชาติกล่าวยอมรับว่า สิ่งที่ กทม. ยังทำได้ไม่ดีคือ ‘เศรษฐกิจเมือง’ ต้องขับเคลื่อนให้มากขึ้น เร่งรัดพัฒนาตลาด 11 แห่ง เชื่อว่าที่ผ่านมาเรามาถูกทาง แต่หากมีข้อปรับปรุงก็พร้อมน้อมรับเพื่อทำให้ดีขึ้น โดยสิ่งที่ยากที่สุดในการทำงานคือการแก้ทุจริตคอร์รัปชัน หากไม่มีความโปร่งใส ประชาชนไม่ไว้ใจ สุดท้ายก็ไม่มีแนวร่วม
“ผมว่าข้าราชการลูกจ้างส่วนใหญ่เป็นคนดี ควรที่จะต้องส่งเสริมโดยเริ่มจากฝ่ายบริหาร ที่ผ่านมาคนแจ้งข้อมูลเรื่องทุจริตมาเยอะ หากเอาจริงเอาจังอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีเงินเหลือทำเรื่องอื่น ผมบอกเสมอว่า Traffy Fondue ที่ประชาชนแจ้งมา 3 แสนกว่าเรื่อง ไม่ได้สะท้อนว่าเราอ่อนแอ แต่แสดงว่าประชาชนไว้ใจเรา มีค่ามากกว่างบประมาณ” ชัชชาติกล่าว