แววตาเปล่งประกาย เต็มไปด้วยความตื่นเต้น สงสัยใคร่รู้ และคำถาม
พ่อแม่ที่มี (และเคยมี) ลูกในช่วงปฐมวัย คงจำได้ถึงแววตาคู่นั้นในวัยที่เขาเต็มไปด้วยคำถาม
“เพราะอะไร”
“ทำไม…ต้องเป็นอย่างนี้ด้วยล่ะ”
และอีกหลายประโยคคำถามที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ราวกับพวกเขาเป็นนักปรัชญา จนผู้ใหญ่อย่างเราต้องขบคิดอย่างหนักเพื่อหาคำตอบ
หลังหนึ่งคำถามคลี่คลาย คำถามอีกมากมายก็ตามมาราวกับไม่มีจุดฟูลสต็อป ว่าความสงสัยใคร่รู้ของเด็กๆ จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
แต่แล้ววันหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไร รู้ตัวอีกที #ความสงสัยใคร่รู้ (Curiosity) ของพวกเขาที่เป็นรากฐานสำคัญของ #การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ก็หายไป พร้อมกับคำถามที่น่าสนใจและความสดใสในแววตา
ถามเด็ก พวกเขาคงตอบไม่ได้ว่า ทำไมคำถามและความสงสัยใคร่รู้ถึงบินจากไป แต่ถ้าถามผู้ใหญ่ หรือให้ใกล้กว่านั้นคือพ่อแม่ รวมถึงผู้ปกครองของเด็ก คงจะพอบอกได้ว่า ทำไมแววตาช่างสงสัยที่แฝงไปด้วยความฉงน และบางทีก็แอบดูซุกซนถึงหายไป เพราะอย่างน้อยครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พวกเขาก็เคยมีสายตาคู่นั้น ก่อนจะถูกโลกนี้และผู้ใหญ่ (บางคน) ลักพาตัวไป
นักประสาทวิทยาบอกว่า เหตุผลที่ความอยากรู้อยากเห็นลดลงเมื่อเราเติบใหญ่ เป็นเพราะในวัยเด็ก สมองที่เคยมี ‘ความยืดหยุ่น’ สูงมากจะค่อยๆ สูญเสียความยืดหยุ่นนั้นไปทีละน้อยเมื่อเราโตขึ้น และหันไปพึ่งพาเส้นทางการสื่อสารกระแสประสาทที่วางไว้แล้วระหว่างวัยในวันที่เราเติบโต
ความอยากรู้อยากเห็นที่ลดลงจึงเป็นแนวโน้มตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น ทว่าก็แค่เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะสภาพแวดล้อมก็มีส่วนเช่นเดียวกับที่ความร้อนหนาวทำให้ผิวกายของเรารู้สึก
ระบบการศึกษาที่เน้นการตอบคำถามให้ได้มากกว่ากระตุ้นให้คิดและตั้งคำถาม ระบบสังคมที่เต็มไปด้วยความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ต้องการคนเชื่องมากกว่าคนช่างสงสัยและตั้งคำถาม เพราะง่ายต่อการปกครองและไม่ท้าทายอำนาจ รวมถึงโครงสร้างการปกครอง ซึ่งหมายถึงพื้นที่ของผลประโยชน์
ในโลกที่ยินดีมอบของสมนาคุณให้กับคนเชื่อง และบทลงโทษให้กับคนช่างสงสัย สิ่งเหล่านี้ได้ทำลายแววตาใคร่รู้คู่นั้นให้หายไป ก่อนจะกลับมาเรียกร้องทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตในวัยผู้ใหญ่ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างคน สร้างเศรษฐกิจ และสร้างประเทศในยุคที่ความเปลี่ยนแปลงของโลกไล่กวดเราตลอดเวลา
คำถามคือ พ่อแม่และผู้ปกครองควรทำอย่างไร เพื่อรักษาแววตาที่เปล่งประกายของเด็กๆ
🟣 1. ฟังอย่างตั้งใจ และตอบคำถามของลูกด้วยความใส่ใจ
แม้ลูกจะช่างซักช่างถามจนบางทีคุณรู้สึกรำคาญ แต่ถ้าฟังดีๆ และตั้งใจพูดคุยตอบคำถาม การตอบคำถามนั้นจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบทสนทนาที่คุณกับลูกผลัดกันตอบและถาม ถ้าคุณทำโดยไม่ฝืนใจ คุณจะสนุกไปกับบทสนทนาที่จะพาคุณไปสู่สุดขอบของจินตนาการไม่รู้จบ แถมในช่วงเวลานั้นยังเป็นการสร้างสายสัมพันธ์และความทรงจำที่ดีระหว่างคุณกับลูก และรักษาดูแล ‘ความสงสัยใคร่รู้’ ให้งอกงาม
🟣 2. สนุกกับการลองผิดลองถูก
ความกลัวจะทำลายความสงสัย พ่อแม่ควรปลูกฝังให้ลูกเห็นว่า การทำผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ และเป็นกระบวนการหนึ่งของการเรียนรู้ เพราะทุกการทำถูกเกิดจากการทำผิดมาก่อนเสมอ ความสงสัยใคร่รู้และกระบวนการเรียนรู้เป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกัน
เพราะไม่รู้จึงสงสัยและใคร่รู้
เพราะไม่รู้จึงอยากรู้
เพราะไม่รู้จึงเริ่มหาคำตอบ
🟣 3. เปิดกว้างด้วยคำถามปลายเปิด
“ทำไม”
“อย่างไร”
“สมมติว่า…”
และ “มาจากไหน”
ทำไมโลกถึงกลม?
นกบินได้อย่างไร?
สมมติว่าตู้เย็นมีชีวิตและพูดได้ คิดว่ามันจะพูดอะไรกับลูก?
ฝนที่ตกมาจากบนฟ้ามาจากไหน?
ลองคิดคำถามปลายเปิดและถามคำถามเหล่านี้กับลูก นอกจากจะเป็นการชี้ชวนให้ลูกสงสัยแล้ว ยังกระตุ้นจินตนาการและเป็นประตูที่จะนำไปสู่กระบวนการเรียนรู้หาคำตอบอีกด้วย
คำแนะนำทั้ง 3 ข้อ ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรมากไปกว่าความใส่ใจที่พ่อแม่ทุกคนมีให้ลูก
ขอให้แววตาใคร่รู้คู่นั้นอยู่กับลูกของเรา และเป็นเพื่อนเก่าที่กลับมาหาคุณอีกครั้ง
📌 ครบทุกความรู้และแรงบันดาลใจ เพื่ออนาคตลูกในงานเดียว! Alpha Skills Summit 2025
ดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/alphass2025cpcu