Blood Free ถือได้ว่าเป็นซีรีส์เกาหลีที่หลายคนรอคอย ด้วยไอเดียสุดล้ำว่าด้วยการเจาะเข้าไปในอุตสาหกรรม ‘เนื้อเทียม’ ที่จะปฏิวัติความเป็นอยู่ของมนุษย์และทำให้หลุดพ้นจากห่วงโซ่อาหาร ซึ่งแน่นอนว่าใครได้ครองเทคโนโลยีนี้ก็เหมือนได้ครองโลก นำมาสู่การพยายามครอบครองด้วยการบ่อนทำลายบริษัทเจ้าของเทคโนโลยี ซึ่งเต็มไปด้วยการทรยศหักหลัง ยิ่งสืบสวนลึกเข้าไปแค่ไหนก็ยิ่งค้นพบความจริงชวนเซอร์ไพรส์มากขึ้นเรื่อยๆ
ซีรีส์นี้เปิดฉากด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของ Blood Free (บีเอฟ) บริษัทของ ยุนจายู (ฮันฮโยจู) ที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเนื้อสัตว์เทียม ทำให้ไม่จำเป็นต้องฆ่าสัตว์อีกต่อไป โดยปัจจุบันสามารถครองส่วนแบ่งตลาดเนื้อสัตว์ได้ถึง 72 เปอร์เซ็นต์ และกำลังจะพัฒนาไปสู่สัตว์ทะเลและธัญพืช นี่คือโลกยูโทเปียในความคิดของหลายๆ คน แต่ด้านนอกของสถานที่จัดเลี้ยงกลับเต็มไปด้วยผู้ประท้วง ทั้งฝั่งนักอนุรักษ์ที่สนับสนุน และเกษตรกรที่ต่อต้าน เพราะนั่นหมายถึงการตัดช่องทางทำกินของพวกเขาไปโดยปริยาย
ยุนจายูถูกปองร้ายและข่มขู่มาแล้วหลายครั้ง ผนวกกับบริษัทก็ถูกกลุ่ม Citizen X เข้ามาแฮ็กข้อมูลเรียกร้องค่าไถ่ 8 หมื่นล้านวอน ทำให้เธอตัดสินใจจ้างบอดี้การ์ดเข้ามาดูแล โดยผู้สมัครที่ได้รับคัดเลือกคือ อูแชอุน (จูจีฮุน) อดีตทหารที่เคยเป็นบอดี้การ์ดของอดีตประธานาธิบดี อีมุนกยู (จอนกุกฮวาน) ที่ต้องสูญเสียขาระหว่างการโจมตีของผู้ก่อการร้าย โดยเชื่อว่ายุนจายูเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ นำมาซึ่งการสืบสวนหาความจริง การช่วงชิงอำนาจ และอีกด้านของธุรกิจเทคโนโลยีพลิกโลก
Blood Free วางประเด็นทางสังคมและวิทยาศาสตร์ไว้เป็นแกนกลางและเล่าผ่านช่วงต้นของซีรีส์อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าเราอาศัยอยู่ในโลกที่ประชากรเพิ่มขึ้น กดดันให้ที่ดินทำกินน้อยลง ในขณะที่การผลิตอาหารก็สร้างผลกระทบทางศีลธรรมและสิ่งแวดล้อมจากการฆ่าสัตว์ รวมทั้งการบุกรุกป่า
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สามารถบรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้ แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาด้วย ทั้งด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพราะผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนหาเลี้ยงชีพด้วยการผลิตอาหาร จนกลายเป็นคำถามว่า Blood Free ที่แปลว่าปราศจากเลือด มันปราศจาก ‘เลือด’ และ ‘น้ำตา’ จริงหรือไม่ และมนุษย์จะอยู่ได้โดยไม่ต้องเบียดเบียนสิ่งอื่นหรือคนอื่นได้จริงหรือ
เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ไซไฟสัญชาติเกาหลีที่เปิดตัวด้วยแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ ก่อนจะก้าวเข้าไปในเนื้อหาสืบสวนสอบสวนที่มีทั้งความซับซ้อนและหนักหน่วง โดยอุทิศ 4 ตอนแรกไปที่เรื่องราวหมุนรอบตัวยุนจายูและภารกิจของเธอในการกอบกู้บริษัท และขยายความไปสัมผัสกับองค์ประกอบทางการเมืองและเรื่องราวของตัวละครอื่นๆ เช่นกัน โดยในบรรยากาศเรื่องเต็มไปด้วยความตึงเครียดและหวาดระแวงด้วยพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจของตัวละครแต่ละตัว และเฝ้ารอการหักมุมอยู่ตลอดเวลา
แต่สิ่งที่เหมือนจะขาดหายไปคือการต่อสู้กับความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างมนุษยชาติและเทคโนโลยีที่ปูไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง จนกระทั่งตอนที่ 6 เนื้อหาเริ่มย้อนกลับสู่แกนหลัก เมื่อความจริงเปิดเผยว่าธุรกิจอาหารจากห้องทดลองอาจมีความทะเยอทะยานยิ่งกว่านั้นซ่อนอยู่
“ผู้คนเข้าใจบีเอฟผิดอยู่สองเรื่องคือเราทำเพราะเงิน ถ้าอย่างนั้นประธานยุนคงขายเทคโนโลยีแล้วไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแล้ว อีกอย่างคือพวกเขาคิดว่าเราเพาะเนื้อเทียมเพื่อไม่ให้มีการคร่าชีวิตสัตว์และปกป้องสิ่งแวดล้อม การที่มนุษย์กินเนื้อสัตว์และพืชผักมันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สิ่งที่เธอทำคือการเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น ความสำเร็จของยุนจายูน่ายกย่องพอๆ กับการคิดค้นวิธีให้มนุษย์อยู่ได้โดยไม่ใช้ออกซิเจน”
อีกทั้งการเผยความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ที่ชั้นใต้ดินของบริษัทบีเอฟยังเปิดประเด็นใหม่และเลื่อนชั้นความเป็นซีรีส์ไซไฟขึ้นไปอีกระดับ พร้อมทั้งตั้งคำถามเกี่ยวกับเทคโนโลยีและชีวิตมนุษย์ ผ่านบทสนทนาระหว่างอูแชอุนและยุนจายู ซึ่งมีหลากหลายวรรคทองที่เหมือนเป็นบทสรุปของเรื่อง
“มนุษย์ไม่อาจอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ แบบนั้นไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นความผิดพลาด แต่ถ้าเกิดพอจะมีวิธีที่ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดตราบจนวันตายล่ะ” – ยุนจายู
บทสนทนาในช่วงสั้นๆ ยังเปิดประเด็นถึงประเด็นทางสังคม ที่เมื่อมีเทคโนโลยีที่ดีแต่ก็ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน และการควบคุมธรรมชาติได้ก็หมายถึงโอกาสที่จะควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยีได้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อคนมองโลกต่างมุมก็มีเหตุผลที่มารองรับแตกต่างกันไป
“พวกเขาลงทุนด้วยเม็ดเงินและเทคโนโลยีเพียงเพื่อจะฆ่าชีวิตคนอื่นสินะ” – อูแชอุน
“ถ้ามีเทคโนโลยีเพื่อการค้า ก็ควรมีเทคโนโลยีเพื่อช่วยชีวิตคนด้วยจริงไหมคะ” – ยุนจายู
สำหรับด้านการแสดงต้องบอกว่านี่คือการกลับมาคืนฟอร์มของฮันฮโยจู หลังจากถูกวิจารณ์จากการรับบทร้ายใน Believer 2 โดยการสวมบท ยุนจายู ซีอีโอของบีเอฟ ที่ผสมผสานทั้งความซับซ้อนและเปราะบาง แสดงออกผ่านสีหน้าให้เธอทั้งเข้มแข็ง ขณะเดียวกันก็แฝงความวุ่นวายใจและความไม่แน่นอนผ่านภาษากายของเธอ ส่วนจูจีฮุนก็ทำได้ดีกับการรับบทอดีตทหารผู้ผันตัวมาเป็นบอดี้การ์ด ที่แสดงออกถึงความเข้มแข็ง มีระเบียบวินัย แต่ก็แฝงความอ่อนไหวจากประสบการณ์ในอดีต
สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างและถือเป็นการก้าวไปอีกขั้นของซีรีส์เกาหลีคืองานภาพอันโดดเด่น ดึงผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งอนาคตผ่านสเปเชียลเอฟเฟกต์ ทั้งในฉากเปิดเรื่อง หรือในฉากที่แสดงภาพผ่านแว่น VR ที่เรียกได้ว่าทำถึง ในขณะที่ฉากอื่นๆ เช่น การย้อนภาพอดีตสงคราม ก็ถูกสร้างอย่างเชี่ยวชาญ มีคุณภาพระดับภาพยนตร์เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม การปูเรื่องยาวนานถึงครึ่งเรื่องก็ค่อนข้างยาวไป และทำให้เนื้อหาช่วงแรกดูคล้ายหนังเรื่อง The Bodyguard ภาคอึมครึมอยู่พอสมควร ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้เนื้อหาคงเร่งเดินหน้าเข้าประเด็น และน่าจะเป็นซีรีส์เด่นประจำปีนี้ที่กลมกล่อมทั้งด้านคุณภาพและประเด็นสังคมสมัยใหม่ที่น่าติดตาม
รับชม Blood Free ได้ทาง Disney+ Hotstar