×

Google และ Facebook ประเทศไทยชี้ ปัญญาประดิษฐ์เป็นของทุกคน ช่วยต่อยอดความสำเร็จ

08.08.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • เว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยี Blognone จัดงานสัมมนาด้านเทคโนโลยี Blognone Tomorrow เพื่อสะท้อนให้เห็นมุมมองและไอเดียการปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของมนุษย์มากขึ้น
  • ในมุมมองของ Google ปัญญาประดิษฐ์เป็นของคนทุกคน พวกเขาต้องการจะช่วยให้ทุกคนได้เป็นเจ้าของ AI และสร้างประโยชน์จากมัน รวมถึงนำไปใช้แก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ ได้
  • Facebook เชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์บนแพลตฟอร์มสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจตั้งแต่ระดับเล็ก กลาง และใหญ่มียอดขายที่ดีและประสบความสำเร็จได้อย่างมหาศาล ส่วนเป้าหมายต่อจากนี้คือการเน้นพัฒนาด้าน AI และ VR มากยิ่งขึ้น

กว่า 14 ปีของการเป็นเว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีคุณภาพ วันนี้ (8 ก.ค.) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Blognone ที่จัดงานสัมมนาด้านเทคโนโลยีเชิงธุรกิจครั้งแรกภายใต้ชื่อ Blognone Tomorrow ด้วยแนวคิด What’s Next in Tech World เพื่อแบ่งปันมุมมองและไอเดียการปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามาครอบงำชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อยๆ

 

อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone เริ่มต้นงานโดยยกประเด็นซอฟต์แวร์กำลังกลืนกินบริษัททั่วโลก ในเวลาเดียวกันกับที่ ‘เทคโนโลยี’ เข้ามามีบทบาทกับภาคธุรกิจที่หลากหลาย แม้แต่ในภาคอุตสาหกรรมที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง เช่น ภาคการเกษตร อาหาร และการก่อสร้าง

 

 

“ปัจจุบัน 5 บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดของโลกเปลี่ยนจากบริษัทในกลุ่มธุรกิจน้ำมันมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีแล้ว เราจึงสามารถพูดได้เต็มปากว่าทุกบริษัทในวันนี้เป็นบริษัทเทคโนโลยีทั้งหมด แม้แต่อุตสาหกรรมที่หลายคนอาจจะไม่คิดว่าเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสักเท่าไรอย่างการเกษตร อาหาร และการก่อสร้าง”

 

อิสริยะบอกต่อว่าการเกษตรเคยเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง พึ่งพาดินฟ้าอากาศมาก และใช้เทคโนโลยีต่ำ แต่กลับกันคือในวันนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะโดรนดูแลแปลงเกษตรและพ่นยาฆ่าแมลงทดแทนแรงงานมนุษย์ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการผลิตอาหารที่เริ่มมีการใช้วัตถุดิบสังเคราะห์จากพืชเพื่อปูทางให้เกิดความยั่งยืนในวันข้างหน้า ตลอดจนอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์และเครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างสะพานข้ามแม่น้ำในประเทศเนเธอร์แลนด์

 

“ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ต้องปรับตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี คำถามคือทำอย่างไรจึงจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงได้เหมาะสมที่สุด”

 

 

ปัญญาประดิษฐ์เป็นของคนทุกคน

งานสัมมนาครั้งนี้มีวิทยากรจากองค์กรชั้นนำขึ้นเวทีให้ความรู้และอัปเดตเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงเป็นจำนวนมาก เช่น LINE, AIS, Google, Facebook, SCB, Dtac, KBank ฯลฯ และประเด็นที่วิทยากรส่วนใหญ่พูดก็ครอบคลุมตั้งแต่ปัญญาประดิษฐ์ (AI), อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT), Big Data ไปจนถึง Cloud เก็บข้อมูล

 

เราหยิบประเด็น ‘ปัญญาประดิษฐ์’ มาเล่าเป็นหลัก เพราะใกล้ตัวทุกคนและเป็นหัวข้อที่สองบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Google และ Facebook เลือกแสดงทัศนะได้อย่างน่าสนใจ

 

ไมเคิล จิตติวาณิชย์ หัวหน้าแผนกการตลาด Google ประเทศไทย มองปัญญาประดิษฐ์ว่าเป็นของคนทุกคน (AI for Everyone) ทั้งยังชี้ให้เห็นว่านวัตกรรมยอดนิยมส่วนใหญ่ในวันนี้ของ Google ล้วนแล้วแต่มีต้นตอมาจากปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning แทบทั้งสิ้น

 

“ปัญญาประดิษฐ์คือศาสตร์ของการทำให้สิ่งต่างๆ ฉลาดมากขึ้น แต่ถูกพูดถึงบ่อยในช่วงนี้เพราะเทคนิค Machine Learning ที่ทำให้ AI ก้าวกระโดดในเชิงการพัฒนามากขึ้น ความต่างกันของระบบการเขียนโปรแกรมรูปแบบนี้คือเราสามารถสอนให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้การเขียนโปรแกรมได้ด้วยตัวเอง แล้วกระบวนการสอนก็มีทั้งการฝึก (Training) และการสรุปผล (Inference)”

 

ตัวอย่างคือการสอนให้ปัญญาประดิษฐ์รู้จักแยกแยะ ‘หมา’ และ ‘แมว’ ผ่านภาพถ่ายในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ก่อนที่ในที่สุดมันจะสามารถแยกหมาและแมวออกจากกันด้วยการรู้จำและการคาดเดาได้ด้วยตัวเอง

 

 

ไมเคิลบอกต่อว่า Google ศึกษาการใช้ AI มาเป็นเวลานานแล้ว โดยมองการสร้างประโยชน์จาก AI ออกเป็น 3 ส่วนคือ

 

1. Making Apps & Services More Useful ทำให้แอปพลิเคชันและบริการต่างๆ ของ Google เข้ามามีประโยชน์ในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ ตัวอย่างในกลุ่มนี้ เช่น Google Photo ที่ใช้ทั้ง AI และ Machine Learning เข้ามาทำประโยชน์ผ่านการรู้จำภาพถ่ายต่างๆ, Google Translate ฟีเจอร์ Word Lens ที่สามารถแปลภาษาผ่านรูปถ่าย และผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ Google Assistant ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน

 

2. Helping Others Innovate ทำให้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้าถึงได้ทุกๆ ธุรกิจเพื่อให้ทุกฝ่ายใช้ประโยชน์ได้กับภาคธุรกิจของตน ตัวอย่างคือการเปิด Open Source ‘TensorFlow’ หรือการเขียนโปรแกรมสอนคอมพิวเตอร์ให้สามารถเรียนรู้ได้, ทำ Cloud APIs บน Google Cloud เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถนำโมเดล Machine Learning ของ Google ไปปรับใช้ต่อได้ทันที และสุดท้ายคือการสร้างฮาร์ดแวร์ Tensor Processing Unit ซึ่งใช้รัน Machine Learning ได้โดยเฉพาะ

 

ผลลัพธ์ที่ได้จาก 3 สิ่งนี้คือการที่บริษัทผู้ผลิตอาหารสำหรับเด็กในญี่ปุ่น Kewpie ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของ Google มาคัดเลือกวัตถุดิบอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย

 

 

3. Solving for Humanity’s Big Challenges ช่วยเหลือให้นักวิจัยใช้ปัญญาประดิษฐ์แก้ปัญหาด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น Health Tech ที่นำ AI มาสอนให้รู้จักวินิจฉัยความเสี่ยงของมนุษย์ที่จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคต่างๆ จากการตรวจดูดวงตา รวมถึงโรคหัวใจ เพื่อวางแผนรักษาและป้องกันให้ทันท่วงที โดยภายในระยะเวลา 2 ปีของการพัฒนา ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ของพวกเขาสามารถวินิจฉัยได้ใกล้เคียงกับแพทย์เฉพาะทางแล้ว

 

นอกจากนี้ยังมีการเทรน AI ให้รู้จักวิเคราะห์อาการป่วยของพืชชนิดต่างๆ รวมถึงใช้ตรวจหาดาวเคราะห์ในอวกาศอีกด้วย

 

“ภารกิจของ Google คืออยากให้ปัญญาประดิษฐ์เป็นของคนทุกคนได้เหมือนๆ กัน สามารถสร้างประโยชน์ในชีวิตประจำวันของเรา และองค์กรภาคธุรกิจต่างๆ รวมไปถึงแก้ไขปัญหาของโลกเราในหลายๆ เรื่องได้ ในมุมมองของเรา AI จึงเปรียบเสมือนหนึ่งใน ‘การเปลี่ยนแปลงที่มีศักยภาพที่สุดของโลก’ ผมอยากให้ทุกคนได้ศึกษาการใช้ AI และการสร้างประโยชน์จากมันในด้านต่างๆ”

 

 

การควบคุมพลังปัญญาประดิษฐ์กับการใช้ประโยชน์ในด้านธุรกิจ

เคยสังเกตไหมว่าทำไมหน้านิวส์ฟีดส่วนตัวบนแพลตฟอร์ม Facebook ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้จึงแสดงผลเนื้อหาและโพสต์ต่างๆ ได้ตรงตามความสนใจของเรา ณ​ เวลานั้นๆ ได้แม่นยำจนน่าตกใจ

 

เมธิศร์ มุกดาสิริ Client Partner และหัวหน้าแผนกธุรกิจค้าปลีกของ Facebook ประเทศไทย บอกว่าโซเชียลมีเดียของพวกเขาอาศัยหลักการทำงานบนปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning เพื่อให้อัลกอริทึมประมวลผลต่างๆ ออกมา ไปจนถึงการคัดกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังถูกประยุกต์ไปใช้ประโยชน์ในด้านธุรกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก กลาง และใหญ่อีกด้วย โดยโฟกัสไปที่ 3 ด้านหลัก ได้แก่

 

1. Reach Audience Efficiently เข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

 

2. Delivery Relevant Message ส่งสารที่โดนใจผู้บริโภคไปยังกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ

 

3. Drive Sales Effectively ช่วยเพิ่มและกระตุ้นยอดขาย

 

วิธีง่ายๆ ที่เมธิศร์อธิบายคือ สมมติว่าเราเป็นผู้ประกอบการร้านคัพเค้กออนไลน์ที่อร่อย แต่มีงบการตลาดจำกัด การใช้ AI ของ Facebook ให้คนจดจำแบรนด์ได้เป็นวิธีที่ทำง่ายและได้ผลที่สุด

 

 

ตัวอย่างเช่น การใช้ฟีเจอร์ Campaign Optimization ส่งสารไปยังกลุ่มผู้ใช้ที่มีแนวโน้มจะจดจำโฆษณาของเราได้ ซึ่งระบบปัญญาประดิษฐ์ของ Facebook จะเรียนรู้โดยทดลองกับผู้ใช้แต่ละรายว่าใครมีโอกาสจำโฆษณาได้มากที่สุด หลังจากนั้นระบบก็จะส่งโฆษณาไปยังผู้ใช้กลุ่มดังกล่าว

 

ส่วนขั้นตอนการเลือกรูปโปรโมตร้านโดยใช้ Dynamic Creative คือการหาว่ารูปโฆษณาเวอร์ชันใดจะเหมาะกับผู้ใช้แต่ละกลุ่มมากที่สุด โดยศึกษาจากรสนิยมของผู้ใช้ในกลุ่มที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือใบปิดโฆษณาเวอร์ชันที่เหมาะสมที่สุดกับผู้ใช้งานในแต่ละช่วงวัย

 

และสุดท้ายคือฟีเจอร์ Dynamic Ads เพื่อดูว่าคนที่คลิกเข้าเยี่ยมชมเพจนิยมดูสินค้าชนิดใดบ่อยที่สุด ก่อนที่ Facebook จะสร้างโฆษณาสินค้านั้นๆ ออกมาอัตโนมัติผ่านเทมเพลตโฆษณาเพียงรูปแบบเดียว ผลที่ได้คือทำให้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องสร้างโฆษณาแบบใหม่อยู่บ่อยๆ นี่คือประโยชน์ของ AI บน Facebook ที่ภาคธุรกิจระดับเล็ก กลาง และใหญ่สามารถใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจของตนเอง

 

เมธิศร์บอกว่าเป้าหมายต่อไปของ Facebook คือการสร้างประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้าน AI และเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) รวมถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างไม่รู้จบ

 

ปัจจุบัน Facebook มีผู้ใช้งานในประเทศไทยมากกว่า 51 ล้านรายต่อเดือน โดยกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีประชากรใช้ Facebook มากที่สุดของโลก ทั้งยังเป็นต้นทางการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ของ Facebook มากมาย รวมถึงการขายของแบบ Social Commerce ซึ่งนำไปสู่แรงบันดาลใจของการสร้างช่องทางการขายของ Marketplace

 

“ทั้งหมดที่ผมเล่ามาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมอีกมหาศาลที่จะเกิดขึ้น มีอะไรมากกว่านี้ให้เราทำ นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางเท่านั้น” เมธิศร์กล่าวทิ้งท้าย

 

จนถึงทุกวันนี้ที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันแล้วว่าปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นจริงๆ ที่น่าสนใจคือต่อจากนี้เป็นต้นไปเมื่อหลายฝ่ายให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะความสามารถของมันอย่างจริงจัง ศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ก็จะก้าวกระโดดจนอาจจะทัดเทียมหรือแซงมนุษย์อย่างเราไปเลยก็ว่าได้

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising