×

ไขมันจากพุงคือยาวิเศษ!

08.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ไขมันที่พุงไม่ได้เป็นแค่ต้นเหตุแห่งความอ้วนเท่านั้น แต่มีการค้นพบใหม่ๆ ที่บ่งชี้ว่าเจ้าไขมันพวกนี้มีคุณประโยชน์ในด้านที่เราอาจนึกไม่ถึงด้วย
  • ในท่ามกลางเซลล์ไขมันที่พุงนั้นมี ‘สเต็มเซลล์’ ซ่อนอยู่! ซึ่งสเต็มเซลล์เป็นเซลล์ฐานรากที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ของอวัยวะอื่นๆ ได้
  • ในปี 2013 นักวิทยาศาสตร์จากเนเธอร์แลนด์ได้ลองเปรียบเทียบสเต็มเซลล์หลายประเภท และพบว่าสเต็มเซลล์ที่มาจากไขมันในพุงของเรานั้น นอกจากจะเติบโตได้ดีจากการเพาะเลี้ยงแล้ว ยังยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าด้วย

1

 

ใครๆ ก็บอกว่าความอ้วนเป็นศัตรูตัวร้าย ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละครับ เพราะ ‘โรคอ้วน’ (Obesity) ก่อให้เกิดอันตรายได้มากมายหลายอย่างดังที่เรารู้ๆ กันอยู่


แต่ต้นเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความอ้วนคือ ‘ไขมัน’ ที่ ‘พุง’ ของคุณนี่สิครับ มันไม่ได้เป็นแค่ต้นเหตุแห่งความอ้วนเท่านั้นนะครับ แต่มีการค้นพบใหม่ๆ ที่บ่งชี้ว่าเจ้าไขมันพวกนี้มีคุณประโยชน์ในด้านที่เราอาจนึกไม่ถึงด้วย


เพราะไขมันตึงพุงพวกนี้อาจทำได้ตั้งแต่แก้ไขโรคเรื้อรังบางโรค กระทั่งถึงความเสียหายของหัวใจกันเลยทีเดียว


แล้วใครล่ะจะพูดได้ว่าไขมันมีแต่ด้านร้ายๆ เท่านั้น!

 

2

 

ทำไมไขมันถึงดีได้?


คำตอบที่คุณอาจต้องทึ่งก็คือ เพราะในท่ามกลางเซลล์ไขมันที่พุงพวกนี้มันมี ‘สเต็มเซลล์’ ซ่อนอยู่น่ะสิครับ!

 

สเต็มเซลล์คืออะไร? สเต็ม หรือ Stem ก็คือราก สเต็มเซลล์จึงเป็นเซลล์ฐานรากที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ของอวัยวะอื่นๆ ได้ แต่ถ้าคุณเริ่มต้นที่เซลล์อื่น เช่น เซลล์ตับ เซลล์ผิวหนัง เซลล์พวกนี้จะไม่สามารถเติบโตเปลี่ยนจากตับมาเป็นกระเพาะ หรือผิวหนังไปเป็นเซลล์เรตินาได้ ทว่าถ้าไปเริ่มที่สเต็มเซลล์ล่ะก็ มันจะโตไปเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น


ดังนั้นเวลาคนพูดกันว่าไปฉีดสเต็มเซลล์ให้อ่อนเยาว์ ก็เป็นเพราะสเต็มเซลล์ที่ฉีดเข้าไปมันไป ‘ซ่อมแซม’ เนื้อเยื่อต่างๆ ในกล้ามเนื้อและกระดูกของร่างกายเราได้ ก็เลยทำให้คนที่ชราแล้วแข็งแรงขึ้น


คำถามก็คือ เอ๊ะ! แล้วร่างกายเรามีสเต็มเซลล์ซ่อนอยู่ตรงไหนหรือเปล่า หรือว่าเราต้องไปเก็บสเต็มเซลล์จากเด็กทารกเท่านั้น


ในปี 1957 มีการปลูกถ่ายไขกระดูกครั้งแรกของโลกเกิดขึ้น ในไขกระดูกนี่แหละครับที่มีสเต็มเซลล์อยู่ การปลูกถ่ายไขกระดูกก็คือการรับสเต็มเซลล์เข้าไป


แต่กระนั้นก็ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าสเต็มเซลล์จากไขกระดูกที่ใช้กันแพร่หลายนั้นเป็นสเต็มเซลล์ประเภทที่เมื่อรับเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายเกิดการสร้างเม็ดเลือดใหม่ๆ ขึ้นมาเท่านั้น แต่ถ้าจะให้สเต็มเซลล์จากไขกระดูกไปทำหน้าที่อื่นๆ เช่น ไปซ่อมแซมกล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน หรืออวัยวะอย่างหัวใจและสมองนั้น สเต็มเซลล์จากไขกระดูกที่ทำหน้าที่อย่างนี้ได้จะสกัดออกมายาก ได้ออกมาน้อย


แล้วจะทำอย่างไร?


ในราวปี 2000 นักวิทยาศาสตร์มาค้นพบว่าร่างกายของเรามีสเต็มเซลล์ซ่อนอยู่ในที่อื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะในไขมันของร่างกายเรานี่เอง สเต็มเซลล์ที่อยู่ระหว่างเซลล์ไขมันนั้นแม้จะมีอยู่น้อยมาก แต่ก็คิดเป็นถึง 1% ของไขมันในร่างกายมนุษย์ นั่นแปลว่าสเต็มเซลล์จากไขมันมีมากกว่าสเต็มเซลล์จากไขกระดูกถึงพันเท่า


คำถามก็คือ เอ๊ะ! เวลาที่คุณไปดูดไขมันเสริมสวยเสริมหล่อทำซิกซ์แพ็กกัน จะเอาไขมันพวกนี้ไปทิ้งเปล่าๆ ปลี้ๆ ทำไมล่ะนี่ สู้เอามาสกัดหาสเต็มเซลล์ไม่ดีหรือ


เขาบอกว่าแค่ในอเมริกาประเทศเดียว แต่ละปีก็มีการดูดไขมันถึง 400,000 รายเข้าไปแล้ว ทำให้ได้ไขมันพวกนี้ออกมาเป็นตันๆ เลย ซึ่งก็ต้องเอาไปกำจัดทิ้ง เพราะเป็นเหมือนของเสีย ทั้งที่แท้จริงแล้วในขยะนี้มีทองคำซ่อนอยู่แท้ๆ


นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีการคิดค้นวิธีการเปลี่ยนเซลล์ไขมันหรือเซลล์กระดูกให้กลายเป็นสเต็มเซลล์ได้ด้วยการใช้ยาบางชนิดและ Growth Factor บางอย่าง เพื่อ ‘ลบ’ ความทรงจำในเซลล์ออก ทำให้มันรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเซลล์รากฐานใหม่อีกทีหนึ่ง


แต่กระนั้น ถ้าได้สเต็มเซลล์มาเลยโดยไม่ต้องไปใช้ยาเหนี่ยวนำอะไรก็น่าจะให้ผลที่ดีกว่า


ในปี 2013 นักวิทยาศาสตร์จากเนเธอร์แลนด์ได้ลองเปรียบเทียบสเต็มเซลล์หลายประเภท และพบว่าสเต็มเซลล์ที่มาจากไขมันในพุงของเรานั้น นอกจากจะเติบโตได้ดีจากการเพาะเลี้ยงแล้วยังยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าด้วย


เวลาเราฉีดอะไรแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะพยายามทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น ทำให้เกิดการ ‘ปฏิเสธ’ สิ่งเหล่านั้นขึ้นด้วยอาการต่างๆ สเต็มเซลล์ก็เหมือนกัน ถ้าเรานำสเต็มเซลล์มาเพาะเลี้ยงจนกลายเป็นอวัยวะใหม่ แล้วนำอวัยวะนั้นไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วย บางคนก็อาจเกิดอาการปฏิเสธรุนแรงได้ (แต่บางคนก็ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย) ทว่าการที่สเต็มเซลล์จากชั้นไขมันยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า แปลว่าคนที่ได้รับจะมีอัตราการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะน้อยกว่าหรือช้ากว่า


เรื่องนี้มีการทดลองซ้ำทั้งในเนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น พบว่าได้ผลแบบเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะถ้าร่างกายมีแนวโน้มปฏิเสธการปลูกถ่าย เราต้องต้องกินยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต แต่ยานี้ก็ไม่ได้ผลตลอดกาล ถึงวันหนึ่งการปฏิเสธก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี จึงต้องปลูกถ่ายใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นถ้าสเต็มเซลล์จากไขมันทำให้อัตราการปฏิเสธลดลงก็ถือเป็นเรื่องดี


สเต็มเซลล์นั้นมีความสามารถล้ำเลิศมากนะครับ เพราะบางครั้งก็ไม่ต้องไปพยายามทำให้สเต็มเซลล์เติบโตไปเป็นอวัยวะอะไรแล้วค่อยปลูกถ่ายด้วยซ้ำ ในปีที่ผ่านมานี้เคยมีการทดลองของนักวิทยาศาสตร์จากปากีสถานด้วยการฉีดสเต็มเซลล์จากไขมันเข้าไปในหนูทดลองที่มีอาการข้อเข่าเสื่อม ปรากฏว่าสเต็มเซลล์พัฒนาไปเป็นเซลล์กระดูกอ่อน ทำให้ชั้นกระดูกอ่อนที่เข่าซึ่งเสียหายแล้วสามารถฟื้นฟูตัวเองกลับขึ้นมาได้ใหม่


นอกจากนี้ยังพบความมหัศจรรย์ลักษณะเดียวกันนี้อีกในหลายโรค หลายอาการ เช่น ในหนูที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งสเต็มเซลล์ที่ฉีดเข้าไปจะปล่อยโปรตีนตัวที่หนูขาดออกมา ทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหายได้


โรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันอื่นอีกหลายโรค เช่น เบาหวาน โรคปลายประสาทอักเสบ ฯลฯ สเต็มเซลล์จากไขมันก็มีศักยภาพในการช่วยซ่อมแซมรักษาให้ได้ ดังนั้นจึงพูดได้ว่าสเต็มเซลล์จาก ‘พุง’ ของเรามีคุณค่าและศักยภาพมากมาย


ยิ่งถ้านำไปใช้กับเทคนิคใหม่คือการใช้ยาที่เรียกว่า Azacitidine ที่สามารถเปลี่ยนเซลล์ไขมันธรรมดาให้กลับไปเป็นสเต็มเซลล์ได้ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้มีนักวิทยาศาสตร์จากออสเตรเลียวางแผนเอาไว้ว่าจะทดสอบสเต็มเซลล์ใหม่นี้กับมนุษย์ในราวปี 2017 โดยคาดว่าสเต็มเซลล์เหล่านี้จะไปรักษาอาการปวดหลัง ข้อ และอาการเกี่ยวกับกล้ามเนื้อได้


ดังนั้นถ้าใครบอกว่าคุณมีไขมันหน้าท้องหรือพุงยื่น คุณอาจบอกเขาไปขำๆ ก็ได้ว่าคุณกำลังสะสมสเต็มเซลล์อยู่


ฟังดูเท่ไม่หยอกเลยใช่ไหมครับ แต่จริงๆ แล้วถ้าคุณลดน้ำหนักได้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่านั่นแหละครับ เพราะการลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย ไม่ตามใจปาก คุณก็สามารถกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งมีดหรือเข็มฉีดยาของหมอ เป็นการ ‘สร้างร่างสวยด้วยมือเรา’ โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น


แต่มานึกอีกที ในอนาคตอาจมีธุรกิจใหม่อย่างการดูดไขมันหน้าท้องไปขายเกิดขึ้นก็ได้นะครับ ใครจะไปรู้!

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising