เซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประกาศเป้าหมายทางการเงินและแผนงานทางธุรกิจของธนาคารประจำปี 2565 โดยตั้งเป้าเติบโตของเงินให้สินเชื่อในปีนี้ที่ 3-5% แบ่งเป็นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโต 3-4% สินเชื่อธุรกิจ SMEs เติบโต 4-5% และสินเชื่อรายย่อยเติบโต 3-4% ขณะเดียวกันยังตั้งเป้าจะมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ 3.1-3.3% และมีการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา
ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPLs ตั้งเป้าให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2.6% เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.2% ณ สิ้นปี 2564 เล็กน้อย โดยสาเหตุที่ธนาคารมองว่าหนี้เสียมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ
1. การที่มาตรการช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังจะหมดอายุลงในปีนี้
2. สภาพเศรษฐกิจไทยที่แม้ว่าจะมีทิศทางเติบโตได้ดีกว่าในปีที่ผ่านมาแต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับโอกาสในการจัดตั้งกิจการร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือ JVAMC ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ด้วยระดับ NPLs ที่ต่ำของธนาคารทำให้ยังไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนตัดสินใจ โดยธนาคารจะเฝ้าสังเกตหนี้เสียอย่างใกล้ชิดในปีนี้ก่อนจะนำเรื่องการจัดตั้ง JVAMC กลับมาพิจารณาอีกครั้งในปีถัดไป
ส่วนโอกาสในการจัดตั้ง Virtual Bank ที่ ธปท. มีการพิจารณาให้ใบอนุญาตในเร็วๆ นี้ ธนาคารได้มีการศึกษาความเหมาะสมเรื่องนี้อยู่เช่นกัน โดยยืนยันว่าปัจจุบันธนาคารมีโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่พร้อมจะต่อยอดบริการประเภทนี้ได้อยู่แล้ว
อาคิตะระบุอีกว่า ปี 2565 นี้ นับเป็นปีที่ 2 ของแผนงานธุรกิจระยะกลางประจำปี 2564-2566 ของธนาคาร ที่เน้นการเสริมสร้างประสิทธิภาพและการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียน โดยในปีนี้ธนาคารจะเดินหน้าแผนดังกล่าวต่อเนื่องผ่าน 3 แกนหลัก คือ
- การพาลูกค้าไปให้ไกลกว่าประเทศไทย (Beyond Thailand) ด้วยการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายที่เข้มแข็งของ MUFG และความแข็งแกร่งของกรุงศรีในการเชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคอาเซียน
- การเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าไว้วางใจผ่านการให้บริการที่เป็นมากกว่าสถาบันการเงิน (Beyond Banking) เพื่อทั้งลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อย
- การพัฒนาด้านดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้า (Beyond Tech)
“ปัจจุบันกรุงศรีมีฐานธุรกิจของตัวเองในกลุ่มอาเซียนแล้ว 5 ประเทศ ซึ่งหากรวมกับเครือข่ายของบริษัทแม่อย่าง MUFG เข้าไปด้วยก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 9 ประเทศ โดยในปีที่ผ่านมาธุรกิจในอาเซียนสามารถทำกำไรให้กับธนาคารได้ 6% ของกำไรในภาพรวม เพิ่มขึ้นจาก 3% ในปีก่อนหน้า และธนาคารมีเป้าหมายจะเพิ่มกำไรในส่วนนี้ให้เพิ่มขึ้นเป็น 10% ของกำไรรวมภายใน 2 ปี” อาคิตะกล่าว
ไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ปัจจุบันกรุงศรีได้ให้บริการลูกค้าไปแล้วมากกว่า 500,000 บัญชี ในกัมพูชา สปป.ลาว และฟิลิปปินส์ รวมมูลค่าสภาพคล่องแล้วกว่า 6.4 หมื่นล้านบาท
สำหรับลูกค้าคนไทย ธนาคารยังคงเดินหน้าขยายโซลูชันในการเพิ่มมูลค่าการทำการค้าระหว่างประเทศ (Cross-Border Value Chain Solutions) ในอุตสาหกรรมต่างๆ และบริการให้คำปรึกษาเพื่อช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้าธุรกิจไปเติบโตใน 9 ประเทศทั่วทั้งอาเซียน และอีกมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลกผ่านเครือข่ายของ MUFG
นอกจากนี้ธนาคารยังมีแผนขยายบริการธุรกรรมการโอนเงินระหว่างประเทศทั้งสำหรับลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีการเชื่อมต่อบริการ 3 ประเทศในปีที่ผ่านมา ให้เป็น 8 ประเทศภายในปีนี้ โดยปัจจุบันมีธุรกรรมการชำระเงินและการโอนระหว่างประเทศในอาเซียนผ่านกรุงศรีแล้วมากกว่า 5 แสนครั้ง มูลค่ารวมมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ไพโรจน์กล่าวอีกว่า ในปีนี้ธนาคารจะเดินหน้าสร้างพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจหลากหลาย ทั้งธุรกิจด้านพลังงาน โทรคมนาคม ประกัน อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจรายย่อยและเชิงพาณิชย์ต่อไป รวมถึงกำลังทำงานร่วมกับพันธมิตรใน Digital Assets และ Private Markets เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีเอกลักษณ์และน่าสนใจให้กับลูกค้า
“ในการนำด้วยดิจิทัลและนวัตกรรมในปีนี้ธนาคารจะเน้นเรื่องการขยาย API เชื่อมโยงกับธนาคารพันธมิตรในอาเซียน การร่วมสร้าง AI Tech Lab กับ MUFG และพันธมิตรเช่น Grab การเป็นผู้นำในโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินอัจฉริยะและแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์ให้กับตลาดทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยธนาคารวางแผนลงทุนในด้านไอทีปีนี้ที่ 7-8 พันล้านบาท” ไพโรจน์กล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP
