อีกไม่กี่ชั่วโมง งานใหญ่ประจำปี Worldwide Developers Conference (WWDC) ของ Appleก็จะเริ่มขึ้นแล้ว โดยที่ผ่านมางานนี้จะเน้นโชว์ระบบปฏิบัติการซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับ iPhone, Mac, iPad และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัท แต่ในปีนี้งาน WWDC ถือได้ว่าเป็นอีเวนต์ครั้งสำคัญของ Appleเนื่องจากความร้อนแรงของ AI ที่หลายฝ่ายมองว่าพวกเขาค่อนข้างตามหลังคู่แข่งในมิตินี้
ทั้ง Google, Microsoft, Samsung และ Amazon ต่างก็ประกาศชัดเจนมาก่อนหน้านี้แล้วว่า พวกเขา ‘All In’ หรือให้การสนับสนุนเต็มร้อยกับ AI ในขณะที่ Appleยังไม่มีการแถลงในทำนองเดียวกันออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน และเป็นประเด็นที่กวนใจลูกค้ากับกลุ่มผู้ถือหุ้นอยู่ไม่ใช่น้อย
ด้วยเหตุผลข้างต้น งาน WWDC ครั้งนี้จึงทำให้หลายแหล่งข่าวคาดว่าโฟกัสของ Appleจะเน้นไปที่ฟีเจอร์ AI แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็จำเป็นต้องตอบคำถามใหญ่ 3 ประเด็นในเรื่องของ AI ให้ได้ โดย Michael Grothaus นักข่าวสำนัก Fast Company จำแนกออกมา ดังนี้
ใครคือพาร์ตเนอร์ด้าน AI ของApple
คงปฏิเสธได้ยากว่าสถานการณ์ของ Appleตอนนี้ในด้าน AI คือพวกเขาอยู่ในสถานะ ‘ผู้ตาม’ มากกว่า ‘ผู้นำ’ ทำให้หลายฝ่ายมองว่า Appleมีแนวโน้มที่จะจับมือกับบริษัทผู้พัฒนา AI เพื่อนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ Appleและคำถามที่ตามมาคือ ใครจะเป็นผู้ถูกเลือกโดยApple?
ข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้จาก Bloomberg รายงานเอาไว้ว่า Appleกำลังใกล้ปิดดีลความร่วมมือกับ OpenAI แล้ว แต่ทั้งนี้ รายงานอีกฉบับบอกเพิ่มเติมว่า Google ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ Appleเล็งว่าจะดึง Gemini เข้ามาใช้งานด้วย
หากมองในมุมของ Appleทั้งสองบริษัทพาร์ตเนอร์มีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเลือก OpenAI นั่นหมายความว่า Appleจะเข้าถึงโมเดล AI ที่สังคมเทคโนโลยีโดยรวมเชื่อว่าล้ำหน้าที่สุดของวงการ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยปัญหาความถูกต้องของข้อมูลที่ยังเป็นประเด็นถกเถียงอยู่ว่า ชุดข้อมูลที่ OpenAI นำมาใช้ฝึกเทคโนโลยีของตัวเองนั้นได้มาอย่างโปร่งใสและเป็นไปตามข้อปฏิบัติกฎหมายหรือไม่
ด้วยเหตุผลนี้ การร่วมมือกันระหว่าง Appleและ Google อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับบริษัทผู้ปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟน แต่พวกเขาต้องยอมรับว่า Gemini จะยังไม่มีความก้าวล้ำเมื่อเทียบกับโมเดลที่ถูกใช้ใน ChatGPT และอีกข้อกังวลที่ทำให้ Appleต้องคิดหนักคือ ความแม่นยำของการสร้างคำตอบด้วย Gemini เมื่อเหตุการณ์ในสองสัปดาห์ก่อนมีผู้ใช้งานหลายรายออกมาแชร์ว่า AI ของ Google ให้คำแนะนำที่ผิดเพี้ยน เช่น แนะคนให้ใส่กาวลงบนพิซซ่าเพื่อความติดแน่นของวัตถุดิบ หรือบอกว่า Barack Obama เป็นชาวมุสลิม ซึ่งคำตอบเหล่านี้จะสร้างปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นอย่างแน่นอน
Apple จะรับมือกับเรื่องความเป็นส่วนตัวการใช้ AI อย่างไร
คำถามต่อมาคือ การรับมือกับข้อกังวลของผู้ใช้งานในประเด็นความเป็นส่วนตัวกับฟีเจอร์ AI ตัวใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว
ในช่วงที่ผ่านมาเราเห็นจากหลายบริษัทบิ๊กเทคไม่ว่าจะเป็น OpenAI หรือ Google ที่มักจะมีข่าวเกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อมูลติดลิขสิทธิ์และความเป็นส่วนตัว เพราะวิธีที่จะพัฒนาให้ AI เก่งขึ้นคือ การใส่ข้อมูลเข้าไปฝึกในโมเดลให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะถ้าบริษัทต้องการทำให้ AI สามารถทำงานได้ในระดับรายบุคคล การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ก็อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
จากประเด็นความเชื่อมั่นในการจัดการความเป็นส่วนตัวนี้ทำให้ Appleต้องหาวิธีในการป้องกันและสื่อสารกับผู้ใช้งานว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาจะถูกจัดเก็บอย่างไร ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์กับ Appleก็ตาม
สำหรับฟีเจอร์ AI ขั้นพื้นฐาน เช่น การปรับแต่งรูปหรือสรุปเอกสาร Appleน่าจะเลือกใช้ให้ AI ประมวลผลบนเครื่อง คล้ายกับที่ Samsung ทำกับสมาร์ทโฟน Galaxy S24 แต่ถ้าเป็นฟีเจอร์ที่ต้องอาศัยการประมวลผลบนคลาวด์ Appleต้องอธิบายได้ว่าข้อมูลส่วนตัวจะไม่รั่วไหลสู่ผู้พัฒนา AI ที่ ‘โหยหา’ ข้อมูลในช่วงเวลานี้ได้อย่างไร
อุปกรณ์ไหนจะสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้บ้าง
แม้ว่า Appleจะดูเชื่องช้ากับการนำ AI เข้ามาให้บริการผู้ใช้งาน แต่การที่บริษัทมีฐานผู้ใช้งานที่เปี่ยมไปด้วยอุปกรณ์นับ 2,200 ล้านเครื่องจากการรายงานล่าสุด การจะขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลกในมุมของจำนวนการใช้งาน AI ก็สามารถเกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืน เมื่อซอฟต์แวร์ iOS 18, iPadOS 18, watchOS 11 และ macOS 15 เปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม การมีอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานมหาศาลในระดับนี้ก็มิได้เป็นเครื่องยืนยันว่าทุกอุปกรณ์จะใช้งาน AI ทั้งหมด รวมถึงอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ไม่สามารถรองรับการประมวลผล AI บนตัวเครื่อง เนื่องจากชิ้นส่วนชิปและฮาร์ดแวร์ที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ แต่อุปกรณ์กลุ่มนั้นอาจถูกย้ายไปพึ่งพิงการประมวลผลบนคลาวด์แทน ซึ่งจะเป็นตัวจุดประเด็นความท้าทายการเก็บรักษาข้อมูลให้มีความเป็นส่วนตัว
ดังนั้นสิ่งที่ Appleต้องชี้แจงให้ชัดเจนคือ ประเภทของอุปกรณ์ที่รองรับการทำงานของ AI บนเครื่องและอุปกรณ์ที่จะต้องใช้คลาวด์สำหรับประมวลผล
งาน WWDC จะเริ่มขึ้นในเช้ามืดวันอังคาร เวลา 00.00 ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทย ซึ่งเราคงต้องจับตาดูกันว่า Appleจะตอบข้อสงสัย 3 ประเด็นนี้ได้อย่างไรและมากน้อยแค่ไหน
ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images
อ้างอิง: