×

วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 13)

15.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read

:: คำนำ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์อภิวัฒน์สยามในปีพุทธศักราช 2475 นั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่งในประเทศของเรา การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นส่งผลกระทบถึงสังคมส่วนใหญ่และปัจเจกชนส่วนย่อยจำนวนมาก เรื่องราวของผู้ที่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตจากการอภิวัฒน์ครั้งนั้นมีบันทึกไว้มากมาย แต่ละบุคคลล้วนผิดแผกแตกต่างกันไป

 

ชีวิตของผู้คนนั้นเป็นแกนกลางของนวนิยายอยู่เสมอ โดยเฉพาะนวนิยายประวัติศาสตร์ ดังนั้นการหยิบยกชีวิตของบุคคลที่เคยอยู่ในตำแหน่งที่สูงเด่น หากแต่ต้องผกผันอย่างคาดไม่ถึงมาเล่าใหม่ในครั้งนี้ แม้จะมีความจริงแฝงอยู่หลายประการ แต่การพ้องเคียงกับชีวิตของบุคคลใดก็ตาม เป็นเพียงจินตนาการโดยสมบูรณ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว

     อนุสรณ์ ติปยานนท์

 

บทที่สิบสาม

ความตายในฐานะเรื่องเล่าของพันตรี โทรุ ซากาโมโตะ

 

พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เดินตรงเข้ามาในร้าน เขาหยุดยืนอยู่หน้าเวทีแห่งการทะเลาะเบาะเเว้งของเรา มันยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก แต่เขากลับอยู่ในชุดเครื่องแบบประจำหน่วยทหารสารวัตรแล้ว ปืนเมาเซอร์ของเขาถูกคาดอยู่ในซองเอว เครื่องหมายประจำหน่วยของเขาถูกกลัดอยู่ที่แขนเสื้อ เส้นผมของเขาถูกจัดแต่งอย่างประณีต เขาแลดูเหมือนบุคคลที่กำลังจะเดินทางไปงานเลี้ยงสำคัญยามค่ำแทนการตรวจตรายามสงคราม เขาใช้ดวงตาเรียวเล็กของเขาจ้องมองใบหน้าของข้าพเจ้าและใบหน้าของชายผู้ประจำการอยู่ที่บาร์ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมา มันเป็นยิ้มที่ทำลายทุกอย่างในวันนั้นลง

 

“มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล สวัสดียามเช้า ขอโทษที่มาขัดจังหวะการสั่งอาหารเช้าของคุณ แม้ผมจะเกรงว่านี่ไม่น่าใช่วิธีการสั่งอาหารเช้าที่ถูกต้อง หรือว่าสำหรับคนเยอรมันแล้ว คุณนิยมกระทำเช่นนี้?”

 

ข้าพเจ้าถอยห่างจากคู่กรณี พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ จ้องมองใบหน้าของข้าพเจ้าและชายผู้นั้นอีกครั้ง ครานี้เขาพูดเบาๆ “เอาล่ะ ผมเข้าใจว่าคงเช้าไปสำหรับอารมณ์ขัน ใครก็ได้ช่วยเล่าอะไรให้ผมฟังสักหน่อย อย่างน้อยในฐานะผู้ดูแลความสงบของเมืองนี้ ให้ผมมีส่วนร่วมสักเล็กน้อยก็ยังดี” ชายผู้ประจำการบาร์เริ่มต้นเล่าเรื่องของเขา เขาเล่าว่าข้าพเจ้าผลุนผลันเข้ามาในบาร์ ดวงตาแดงกร่ำ ร้องตะโกนขอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ในฐานะของคนมุสลิมที่เคร่งครัด เขาไม่อาจหาเครื่องดื่มที่ว่าให้ข้าพเจ้าได้ และเมื่อได้รับคำปฏิเสธที่ว่า ข้าพเจ้าก็โจนเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งและพยายามบังคับเขาให้ทำตามที่ข้าพเจ้าขอร้อง เขาพยายามปัดป้องจนกระทั่ง พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ปรากฏตัวขึ้น

 

“เป็นเหตุผลที่สมควรอย่างยิ่ง มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล แม้ว่าเราจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการศาสนาที่นี่ แต่แม้แต่กองทัพญี่ปุ่นก็ยังไม่สามารถร้องขอให้ชนพื้นเมืองขายเครื่องดื่มแบบนั้นได้ เสียดายว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก หากคุณกระหายใคร่ดื่มอย่างจริงจัง โปรดเป็นแขกของผมในเย็นนี้ คุณรู้จักที่พักของเราดีไม่ใช่หรือ โฮเทลซาวอย โรงแรมชั้นดี ที่น่าจะไม่ดีพอจนคุณต้องแอบย้ายหนีจากมันไปก็ตามที”

 

ข้าพเจ้าเม้มปาก และรู้สึกได้ถึงความโกรธ การถูกหลอกลวงและถูกเย้ยหยันในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ข้าพเจ้าแทบจะกลั้นโทสะไม่อยู่ “เขาโกหก ชายผู้นี้กล่าวคำปด ทั้งหมดเป็นความมดเท็จทั้งสิ้น”

 

พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ยิ้มให้ข้าพเจ้าอีกครั้ง “น่าสนใจมาก ที่คู่กรณีให้การไม่ตรงกัน ผมคงกล่าวเช่นนั้นในฐานะคนกลาง เชิญนั่งที่โต๊ะเถอะ มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล เผื่อผมจะช่วยสพสาวความไม่ลงรอยนี้ได้ ส่วนนาย กลับไปทำงานได้แล้ว” พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เดินนำข้าพเจ้าไปที่โต๊ะข้างในสุดอันเป็นโต๊ะที่ข้าพเจ้าเคยนั่งเมื่อคืนนี้ ก่อนจะพบกับเรื่องราวของ รสา ดาราห์ และก่อนจะพบบุหรง” เขาเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งให้ข้าพเจ้าอย่างสุภาพ ก่อนที่จะนั่งลงในฝั่งตรงข้ามกับข้าพเจ้า “ครานี้ เราอยู่กันสองคนแล้ว โปรดเล่าความจริงให้ผมฟัง คุณคงทราบดีว่า กัมเปไตของเรานั้นเป็นพวกที่ชอบฟังความจริง และเรามีวิธีหาความจริงได้มากมายแม้ว่าผู้เป็นเจ้าตัวจะไม่ยินยอมก็ตามที” ข้าพเจ้าเบือนหน้าเสียจากเขา จ้องมองไปที่อาคารตรงข้าม “รสา ดาราห์” ข้าพเจ้าเอ่ยสั้นๆ “เขาหลอกลวงข้าพเจ้าในเรื่องของ รสา ดาราห์”

 

ในครานี้เองที่สีหน้าของ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขากัดริมฝีปากแน่น อาการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้อุบัติขึ้นชั่วครู่ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวว่ากำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า เขากลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ชายผู้ควบคุมตนเองได้ดีเยี่ยม ข้าพเจ้านึก “รสา ดารราห์ รสา ดาราห์ น่าสนใจมาก โปรดเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียด มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล”

 

ข้าพเจ้าเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์เมื่อคืน นับแต่การมาถึงที่นี่ การสั่งอาหารและเครื่องดื่ม การได้รับแซนด์วิชและจิน โทนิค ที่โต๊ะตัวนี้จากชายผู้ประจำการอยู่ที่บาร์ การได้รับเรื่องราวของ รสา ดาราห์ ของอาคารฝั่งตรงข้ามจากชายผู้ประจำการอยู่ที่บาร์ ข้าพเจ้าเล่าต่อถึงความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อรับรู้ว่าอาคารแห่งนี้เป็นสถานที่ปลดปล่อยความรู้สึกหฤหรรษ์ แม้จะได้รับคำเตือน แต่ข้าพเจ้าไม่สนใจ โดยแรงกระตุ้นที่ว่านั้น ข้าพเจ้าบุกเข้าไปในอาคาร ถูกทำร้ายในความมืดและตื่นขึ้นในยามเช้า ข้าพเจ้าอยากรู้ว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าออกจากอาคาร ตั้งใจจะถามชายผู้ประจำการที่บาร์ว่าเขาเห็นใครออกจากอาคารแห่งนั้นบ้าง แต่เขากลับปฏิเสธว่าไม่เคยพบข้าพเจ้ามาก่อน และไม่เคยเล่าเรื่อง รสา ดาราห์ ให้ข้าพเจ้าฟังเลย ข้าพเจ้าเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น หญิงชราพื้นเมืองผู้ที่เป็นคนเปิดประตูบานนั้นให้ข้าพเจ้า ความมืดภายในอาคาร เสียงกิจกรรมทางเพศที่ข้าพเจ้าได้ยินและการถูกทุบด้วยของหนักที่ต้นคอ ข้าพเจ้าพยายามใส่รายละเอียดทั้งหมดให้ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ พ้นจากความสงสัย มีเพียงสองเรื่องเท่านั้นที่ข้าพเจ้าไม่ได้เล่าออกไปนั่นคือ การปรากฏตัวของมาเม็ตที่นั่น และการได้พบกับบุหรง หญิงสาวที่ข้าพเจ้ามีความปรารถนาในตัวเธอ”

 

พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ นั่งฟังเรื่องราวของข้าพเจ้าด้วยอาการสงบ เขาเปิดซองบุหรี่ขึ้น ยื่นให้ข้าพเจ้าและจุดไฟให้จากไฟแช็กของเขา ข้าพเจ้าสูบควันแรกอย่างกระหายในขณะที่เขาปิดซองบุหรี่ เก็บไฟแช็ก ลุกออกจากโต๊ะและเดินตรงไปที่บาร์ เขาหยุดยืนหน้าเคาน์เตอร์บาร์ที่ทำจากหินอ่อน วางมือข้างซ้ายที่ปราศจากนิ้วหัวแม่มือไว้ที่เคาน์เตอร์ด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย ก่อนจะเอ่ยถามกับชายผู้ประจำการอยู่ที่บาร์ว่า “รสา ดาราห์ สุภาพบุรุษชาวเยอรมันผู้นั้นเล่าให้ฉันฟังว่านายกล่าวถึงอาคารฝั่งตรงข้ามและ รสา ดาราห์ นายจะช่วยเล่าเรื่องราวที่ว่าให้ฉันฟังอีกครั้งได้ไหม?”

 

เช่นเคย ชายผู้ประจำการที่บาร์ส่ายศีรษะของเขาอย่างช้าๆ “ผมไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องราวเหล่านั้นเลย เป็นความสัตย์จริง เขากำลังแต่งเรื่องขึ้น เป็นการแต่งเรื่องที่น่าละอายมาก ให้พระเจ้าและเหล่ามุลลาห์เป็นพยานเถอะ” พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เปิดซองบุหรี่ของเขาอีกครั้ง จุดบุหรี่ให้ตนเองและสูบมัน เขาพ่นควันออกเป็นทางยาว “นายแน่ใจว่าไม่เคยเล่าเรื่องที่ว่านั้น?” “ใช่ครับ ผมแน่ใจ”

 

แทนการสูบบุหรี่อีกครั้ง พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ทิ้งบุหรี่ลงกับพื้น และก่อนที่ข้าพเจ้าจะกะพริบตา เขานำปืนเมาเซอร์ออกจากซองและลั่นไกไปที่ศีรษะของชายผู้ประจำการอยู่ที่บาร์ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวทำลายความเงียบของเช้าวันนั้น เลือดจากสมองของชายผู้นั้นกระจายเต็มฝาผนังในขณะที่เขาค่อยๆ ล้มลง กลิ่นเขม่าปืนและกลิ่นคาวเลือดผสมปนเปในร้านเล็กๆ แห่งนั้น พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เก็บปืนของเขาใส่ซอง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินกว่าข้าพเจ้าจะตั้งตัวได้ทัน พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ กลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง

 

“เป็นเช่นนี้เสมอ” เขาพูดเบาๆ “บางครั้งผมก็เบื่อการสืบสายมาจากเทพเจ้าแห่งแสงอาทิตย์ ทุกครั้งที่พระอาทิตย์ขึ้น ผมมักจะอดฆ่าใครแบบไร้เหตุผลไม่ได้ ต้องขอโทษคุณด้วย มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล ที่ต้องมาทนดูสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก” เขาจุดไฟให้กับบุหรี่ที่ดับสนิทอยู่ในริมฝีปากของข้าพเจ้า ก่อนที่จะจุดบุหรี่ให้ตนเองอีกครั้ง ครานี้เขาสูบมันด้วยความบันเทิงเริงใจกว่าคราแรกมากนัก

 

“คุณฆ่าเขา” ข้าพเจ้าถอนบุหรี่ออกจากปาก “คุณฆ่าชายคนนั้น คุณทำให้เขาตาย”

 

“ใช่ ผมทำให้เขาตาย” เขาพูด “แต่มันก็เป็นเพียงการย่นเวลาหรือขโมยเวลาในชีวิตของเขาเท่านั้นเอง ไม่ใช่สิ่งสำคัญใดเลย มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล คนเราต้องตาย ต้องจากโลกนี้ไปแทบทุกคน ผมเพียงแต่ริบเวลาที่เหลืออยู่ของเขานั่นเอง” ข้าพเจ้ายังไม่อาจควบคุมตนเองได้ ข้าพเจ้ากัดฟันและตะโกนเสียงดังก้อง “แต่คุณฆ่าเขา คุณทำให้เขาตาย คุณไม่มีสิทธิ์”

 

พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ มองหน้าข้าพเจ้า เขายิ้ม “ในยามสงคราม ไม่มีใครพูดถึงเรื่องสิทธิ์ที่ว่ากันหรอก และนั่นไม่ใช่ความตาย เป็นเพียงการหยุดหายใจไปเท่านั้น หลังจากนั้นเลือดจะทยอยออกจากจุดเปิดของร่างกาย อุณหภูมิในร่างของเขาลดลงจนเย็นเฉียบ ใครสักคนคงฝังเขาในวันนี้ ไม่มีอะไรซับซ้อน นี่ไม่ใช่ความตาย เป็นเพียงขจัดสิ่งไม่จำเป็นเท่านั้นเอง” ข้าพเจ้ากัดฟันอีกครั้ง “นี่เป็นความตาย คุณไม่เข้าใจ…” พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ส่ายหน้าของเขาก่อนจะยิ้มอีกครั้ง “ผมน่ะหรือ ผู้ไม่รู้จักความตาย คุณมองผมผิดไป มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล ผมรู้จักความตายดีกว่าใครอาจจะดีที่สุดในโลกด้วยซ้ำไป คุณมีเวลาไหม แน่ล่ะ คุณคงมีเวลา นั่งพักสักครู่ผมจะเล่าเรื่องอะไรสักเรื่องให้คุณฟัง”

 

“หลายปีก่อน ผมถูกส่งไปประจำการที่เกาะซัคคาริน คุณคงรู้จักที่นั่นบ้าง แม้ว่าจะไม่เคยไปเยือนมันก็ตามที อากาศหนาวเหน็บ ไร้ต้นไม้เขียวชอุ่ม มีแต่ชนพื้นเมืองบ้าใบ้ ผมถูกส่งไปที่นั่นพร้อมกับทหารติดตามอีกสองคน พวกเราออกเดินทางจากฮอกไกโดด้วยเรือในตอนค่ำและขึ้นฝั่งในวันต่อมา หน้าที่ของผมมีเพียงแค่นำจดหมายด่วนฉบับหนึ่งไปให้ผู้บังคับบัญชา เท่านั้นเอง”

 

“ผมส่งจดหมายตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา กองทัพญี่ปุ่นวางแนวป้องกันทางตอนใต้ของเกาะ ในขณะที่ทางทิศเหนือเต็มไปด้วยทหารรัสเซีย พวกเราไม่ได้รบกันหรอก มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล ทหารที่นั่นทำหน้าที่รักษาในสิ่งที่เป็นของเราเท่านั้น เรากำลังทำสงครามกับจีน นั่นก็มากพอแล้ว การเพิ่มสงครามกับรัสเซียนั้นยังไม่ถึงเวลา”

 

 

พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ลุกออกจากโต๊ะ เขาเดินไปที่บาร์ เข้าไปข้างในบาร์ เขาเตะร่างไร้วิญญาณของชายผู้ประจำการที่บาร์จนพ้นทางและลงมือค้นหาบางสิ่งในนั้น “เจอแล้ว เขาโกหกคุณจริงๆ มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล มีเครื่องดื่มชั้นดีมากมายในนี้ แต่ผมว่าวอดก้าน่าจะเหมาะกับบทสนทนาของเรามากกว่าอย่างอื่น” เขาถือขวดเหล้าวอดก้าขวดหนึ่งพร้อมด้วยแก้วสองใบกลับมาที่โต๊ะ นั่งลงและรินวอดก้าใส่แก้วใบหนึ่งให้ข้าพเจ้าก่อนจะรินให้ตนเอง “กัมเปย” ข้าพเจ้ายกวอดก้าแก้วนั้นขึ้นดื่มในรวดเดียว ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการของมึนเมา ข้าพเจ้าต้องการบางอย่างที่จะทำให้ตนเองสงบลงเท่านั้น

 

“หลังส่งจดหมายแล้ว ผมและทหารติดตามมีเวลาเหลืออีกหนึ่งวันก่อนเรือที่มารับเรากลับจะมาถึง พวกเราตัดสินใจไปที่ชายฝั่งของเมืองเปเรวัลนายา ใกล้กับเส้นรุ้งที่ 48 มีคำเล่าลือว่าเราจะหาปลากะพงชั้นดีได้จากชายชาวประมงแถวนั้น และนั่นเป็นความจริง หลังจากจอดรถจี๊ปของพวกเราแล้ว เราพบชาวประมงกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินทางกลับบ้าน จึงซื้อปลาทั้งหมดของพวกเขา ก่อกองไฟและเริ่มต้นย่างปลากินอย่างสุขใจ ทหารคนหนึ่งของผมได้เหล้าพื้นเมืองมาตอนขึ้นฝั่ง หลังความเคร่งเครียดมานาน นี่น่าจะเป็นการพักผ่อนแรกของผมในรอบหลายเดือน พวกเราอยู่ในเขตดูแลของกองทัพญี่ปุ่น ไม่มีอะไรต้องกังวล ปลาตัวแล้วตัวเล่าถูกย่างไฟ เหล้าแก้วแล้วแก้วเหล้าถูกริน พวกเราร้องเพลง ร่ายรำ ทหารคนหนึ่งของผมถอดเสื้อออกและกระโจนลงทะเลอย่างร่าเริงใจ เขางมหอยตัวหนึ่งได้ ตะโกนด้วยความดีใจและวิ่งตรงมาหาพวกเรา แต่แล้วเขาก็ล้มลง เลือดพุ่งออกจากลำคอ เสียงกระสุนดังขึ้นดังเสียงห่าฝน พวกเราถูกโจมตีจากทหารรัสเซีย ต้องเป็นชาวประมงกลุ่มนั้นแน่ที่บอกเรื่องของเรา แต่ผมไม่มีเวลาขบคิดมากนัก เราสองคนที่เหลืออยู่ ผมกับทหารประจำตัวอีกคนวิ่งสุดชีวิตไปที่รถ เขาสตาร์ทรถแต่รถไม่เดินหน้าแม้กุญแจจะอยู่ในร่องของมันแล้วก็ตาม เขาถูกยิงเข้าที่หน้าอกและลำตัวจนล้มนอนลงข้างกายผม อันทำให้ผมต้องทำหน้าที่ขับรถคันนั้นแทน ผมเร่งเครื่องฝ่าแนวกระสุนไปจนถึงถนนใหญ่จนรู้สึกปลอดภัย และมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลประจำหน่วย เลือดที่ไหลออกจากลำตัวของทหารคนนั้นมากเสียจนผมไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเลือดของมนุษย์ ผมเปิดเสื้อของเขาขึ้นและพบว่านอกจากกระสุนจะทะลุตามลำตัวของเขาแล้ว มีกระสุนนัดหนึ่งที่ทะลุผ่านปอดข้างขวาของเขา ผมพยายามฉีกเสื้อและอุดรอยรั่วจากอกแต่ไม่เป็นผล ยังมีเสียงลมที่ผ่านออกจากปอดอันเสียหายนั้นให้ได้ยิน มันต้องมีบางอย่างที่มีน้ำหนักและอุดรูที่ว่านั่น ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีทางรอดแน่ๆ ในที่สุดผมจอดรถข้างทาง ใช้มีดประจำตัวที่เพิ่งผ่านการแล่ปลามาแบบสดๆ ร้อนๆ เฉือนหัวแม่มือข้างซ้ายของผมและใช้มันอุดรูรั่วที่ว่านั่น ก่อนจะตรงไปถึงโรงพยาบาลในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ทหารคนนั้นพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถูกปลดประจำการเนื่องจากเขาไม่อาจหยุดไอได้เวลาตื่นเต้น เราสูญเสียทหารไปสองนาย นายหนึ่งให้กับศัตรู อีกนายหนึ่งให้กับโรคที่รักษาไม่หายและหัวแม่มือข้างหนึ่งเพื่อแลกกับวันอันแสนสุขครั้งนั้น เหตุการณ์ครั้งนั้นสิ มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล ที่ผมเรียกว่าเหตุการณ์แห่งความตาย สำหรับความตายนั้นคุณต้องเข้าไปใกล้มัน ผ่านไปในมัน หยอกล้อมันเล่นอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาอย่างผู้มีชัย นั่นสิ ที่ผมเรียกว่าความตาย มันมีทั้งความทรมานและความเจ็บปวด สำหรับชายผู้ที่อยู่หลังบาร์นั่น เขาเพียงแต่หลับไป เพียงแต่ว่ามันเป็นการหลับที่ไม่มีวันตื่นขึ้นเท่านั้นเอง”

 

ข้าพเจ้าเทวอดก้าให้ตนเอง เรื่องเล่าที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาเกี่ยวกับ พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ช่างเหลวไหลนัก เหลวไหลโดยสิ้นเชิง

 

“สายมากแล้ว” พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ กล่าว “ผมว่าพวกเราควรเข้าไปสำรวจอาคารฝั่งตรงข้ามสักหน่อยน่าจะดี คุณจะได้ขจัดข้อสงสัยเกี่ยวกับ รสา ดาราห์ แม้ว่าผมจะเชื่อว่าไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่ที่นั่นแล้วก็ตาม”

 

พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เดินนำข้าพเจ้าออกไปนอกร้าน เขาเรียกพลขับให้ตามไปและสั่งให้พลขับเปิดประตูอาคารแห่งนั้น ข้าพเจ้ายืนรอความมืดที่จะเผยตนเองในแสงสว่าง ทว่ามันกลับไม่เกิดขึ้น พลขับคนนั้นล้มลงกับพื้น ก่อนที่จะมีกระสุนปืนจำนวนมากกระหน่ำยิงมาที่เรา

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

ภาพประกอบ: Karin Foxx.

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising