×

อนุสรณ์ชี้ ศก. ไทยถดถอยทางเทคนิค เตือนรัฐแจกเงินทำ ปชช. เสพติดประชานิยม

โดย efinanceThai
09.03.2020
  • LOADING...

อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและไทยในปีนี้จะมีความไม่แน่นอนสูงมาก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะพัฒนาไปอย่างไร จากการประเมินล่าสุดยังไม่สามารถชี้ชัดว่าจะทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในระดับโลกหรือวิกฤตการณ์ในไทยหรือไม่ แต่แน่นอนว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดมากขึ้นตามลำดับ จึงยังไม่ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ในขณะที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อปลายปีที่แล้วที่ระดับ 1.8%

 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยน่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในทางเทคนิค ส่วนจะถึงขั้นเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในระดับเดียวกับวิกฤตการณ์ปี 2540 ที่เศรษฐกิจหดตัวติดลบเกือบ 3% ในปี 2540 และหดตัว 7.6% ในปี 2541 (คำนวณ GDP แบบปริมาณลูกโซ่) และฟื้นตัวเป็นบวกได้ในปี 2542 นั้นต้องรอประเมินอีกครั้งในเดือนเมษายน ซึ่งจะได้เห็นปัจจัยและตัวแปรต่างๆ ชัดเจนขึ้น และบอกเราได้ว่าจะเจอวิกฤตเศรษฐกิจทั้งปีติดลบหรือไม่และต่อเนื่องกันกี่ปี

 

“ตอนนี้ที่คาดการณ์ได้คือติดลบอย่างน้อย 2 ไตรมาสติดต่อกัน แต่วิกฤตการณ์คราวนี้หากเกิดขึ้นจะแตกต่างจากปี 2540 คราวนี้จะเกิดเป็นวิกฤตของเศรษฐกิจฐานรากและคนชั้นกลางระดับล่าง เป็นวิกฤตของภาคเศรษฐกิจจริง ภาคการผลิต ภาคการท่องเที่ยว ไม่เหมือนวิกฤตปี 2540 ที่ใจกลางของวิกฤตอยู่ที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นมากเกินไป มีการลงทุนเกินตัวจนเกิดฟองสบู่ และปัญหาหนี้เสียของระบบสถาบันการเงิน”

 

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยคาดว่าน่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเชิงเทคนิคแล้วในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ คืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบในไตรมาสแรก และอาจจะติดลบต่อเนื่องในไตรมาส 2 ติดต่อกัน โดยคาดว่าเศรษฐกิจไตรมาสแรกอาจหดตัวเกือบ 2% การลดลงของภาคการผลิต การใช้จ่ายอุปโภคบริโภค การลงทุน และการส่งออกสินค้าและบริการ 

 

อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนำไปสู่การลดลงของการจ้างงาน ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาไทยเคยประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิคจำนวน 4 ครั้งในปี 2540-2541 (เกิดวิกฤตการณ์การเงินด้วย), ปี 2551-2552, ปี 2556 และปี 2557 โดยในปี 2540-2541 เกิดภาวะถดถอยรุนแรงที่สุดจนถึงขั้นเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจติดลบ 4 ไตรมาสติดต่อกัน 

 

ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 จะช่วยบรรเทาความยากลำบากทางเศรษฐกิจของประชาชนและสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กได้บ้าง แต่การใช้วิธีแจกเงินอยู่เรื่อยๆ เช่นนี้ รัฐบาลไทยต้องตระหนักว่าฐานะทางการคลังของไทยไม่ดีเท่ากับสิงคโปร์หรือฮ่องกง ซึ่งรัฐบาลมีการเกินดุลงบประมาณมาโดยตลอด

 

“ทั้งสองประเทศนั้นแจกเงินรับมือกับผลกระทบโควิด-19 ได้โดยไม่มีความเสี่ยงเรื่องฐานะการคลังในอนาคต ส่วนมาตรการแจกเงิน 2,000 บาทต้องมีแนวทางชัดเจนเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่เดือดร้อนทางเศรษฐกิจ โดยใช้ฐานของผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบวกกับกลุ่มอาชีพอิสระที่เป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ส่วนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลก็ต้องดึงให้มาอยู่ในฐานข้อมูล เพื่อจะได้ช่วยเหลือให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ให้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติด้วย”

 

มาตรการส่วนใหญ่ของรัฐบาลไทยยังเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระยะสั้นเป็นหลัก บรรเทาปัญหามากกว่า เป็นมาตรการลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนทางการเงิน อาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาได้ประมาณ 0.015-0.030% ซึ่งเป็นเพียงการช่วยไม่ให้ทรุดตัวหรือติดลบเกิน 2% การแจกเงินไปที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยโดยตรงอาจมีความจำเป็นต้องทำในสถานการณ์ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวอย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและภาคธุรกิจค้าปลีก

 

แต่ให้ระวังฐานะการเงินการคลังหากใช้มาตรการแบบนี้บ่อย และประชาชนจะเสพติดประชานิยม ไม่ได้ทำให้ประชาชนเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาวแต่อย่างใด เป็นการช่วยแบบสังคมสงเคราะห์ ไม่ได้สร้างระบบหลักประกันทางสังคม จึงไม่เห็นด้วยกับมาตรการลดการจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของนายจ้าง หากต้องการลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการควรเลือกใช้แนวทางอื่น เพราะการลดการจ่ายเงินสมทบจะทำให้สถานะทางการเงินของระบบประกันสังคมอ่อนแอลงในระยะต่อไป

 

มาตรการหรือแนวทางที่สำคัญในช่วงนี้คือรัฐบาลต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบการควบคุมการแพร่ระบาดของไทย และการเดินทางไปร่วมกิจกรรมต่างๆ มีความปลอดภัย หากทำให้เกิดความมั่นใจและความเชื่อมั่นเช่นนั้น ปัญหาโควิด-19 ก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตของผู้คนลดลง รัฐบาลต้องโปร่งใสและไม่ปิดบังข้อเท็จจริง

 
สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่ทำให้มาตรการกระตุ้นการบริโภคหรือมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการมีประสิทธิภาพ ทำให้เม็ดเงินที่อัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนหลายรอบ ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจจะทำหน้าที่ได้ดีเมื่อมีความเชื่อมั่น นอกจากนี้ต้องทำให้เกิด Rule of Law และประชาธิปไตยในประเทศนี้จะทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

เรียบเรียง: สุรเมธี มณีสุโข

ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising