×

ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับ ยกคำขอพิจารณาคดีใหม่ รัฐต้องจ่ายค่าโง่คลองด่าน 9 พันล้านบาท

โดย THE STANDARD TEAM
07.03.2022
  • LOADING...
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับ ยกคำขอพิจารณาคดีใหม่ รัฐต้องจ่ายค่าโง่คลองด่าน 9 พันล้านบาท

วันนี้ (7 มีนาคม) ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ในการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นที่พิพากษาตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของกรมควบคุมมลพิษ

 

โดยคดีนี้ กรมควบคุมมลพิษและกระทรวงการคลังได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 28 และ 22 กรกฎาคม 2559 ตามลำดับ เพื่อขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่อันทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นที่ยุติในคดีที่เคยมีคำพิพากษาของศาลปกครองไปแล้วมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ 

 

โดยกล่าวอ้างว่าในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ และในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองในคดีศาลปกครองสูงสุด ได้มีการดำเนินคดีทางอาญาที่เกี่ยวพันกับคดีนี้หลายคดี ได้แก่ คดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งได้มีคำพิพากษา คดีของศาลแขวงดุสิต คดีของศาลอาญา 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีของศาลอาญา มีเอกสารและพยานหลักฐานที่เป็นพยานหลักฐานใหม่ ได้แก่ พยานบุคคลและพยานเอกสารตามรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บันทึกถ้อยคำของพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ยื่นส่งในชั้นสืบพยาน อันปรากฏข้อเท็จจริงที่แสดงความเชื่อมโยงความทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการทางการเมือง ร่วมกันกับเอกชนที่เอื้อประโยชน์ให้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้ที่ดินของบริษัท คลองด่าน มารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด ให้ใช้ในการก่อสร้างโครงการ และให้กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี  ได้รับการคัดเลือกเข้าทำสัญญาโครงการจัดการน้ำเสีย จังหวัดสมุทรปราการ จนทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและประชาชน 

 

และสืบเนื่องจากผลของคำพิพากษาศาลอาญา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) จึงมีหนังสือถึงกรมควบคุมมลพิษ แจ้งคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 อายัดเงินจำนวน 2 รายการ พร้อมดอกผล ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่กรมควบคุมมลพิษต้องชำระให้แก่กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดไว้ชั่วคราว 

 

นอกจากนั้น ยังปรากฏความไม่ชอบของคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ที่มีสาเหตุจากการขาดคุณสมบัติในเรื่องความเป็นกลางของ เสถียร วงศ์วิเชียร ขณะเป็นอนุญาโตตุลาการฝ่ายเอกชน ทั้งหมดนี้เป็นพยานหลักฐานใหม่ อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วในคดีของศาลปกครองเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 

 

กรมควบคุมมลพิษและกระทรวงการคลังขอให้ศาลรับคำขอพิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา และให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2546 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 มกราคม 2554 

 

ศาลปกครองกลางมีคำสั่งรับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่เฉพาะในส่วนของกรมควบคุมมลพิษไว้พิจารณา แต่ไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ในส่วนของกระทรวงการคลัง 

 

โดยศาลเห็นว่ากระทรวงการคลังไม่ใช่คู่สัญญาในสัญญาพิพาท และไม่ปรากฏเหตุอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่าจะได้รับผลกระทบจากผลแห่งคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยโดยตรง จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดี ซึ่งจะมีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้ 

 

และวินิจฉัยว่า การที่ข้าราชการของกรมควบคุมมลพิษซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงกระทำการขัดต่อกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ทั้งในขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นผู้มีสิทธิเสนอราคาโครงการ ขั้นตอนการจัดหาที่ดิน ขั้นตอนการประกวดราคา ทั้งมีการแก้ไขข้อความในร่างสัญญาที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้วในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ จนมีการลงนามในสัญญาโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ผลของการกระทำดังกล่าวเป็นไปในทางที่ทำให้ราชการเสียหาย อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต 

 

ดังนั้น การที่กรมควบคุมมลพิษโดยอธิบดีกรมควบคุมมลพิษในขณะนั้นได้เข้าทำสัญญาแทน จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำการแทนกรมควบคุมมลพิษ เมื่อสัญญาเกิดจากการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่มีผลผูกพันกรมควบคุมมลพิษ 

 

เห็นว่าคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชำระเงินค่าจ้าง ค่าเสียหาย และดอกเบี้ย ให้แก่กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี จึงมีเหตุให้เพิกถอนได้ตามมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) แห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 และไม่จำต้องวินิจฉัยข้อพิพาทในประเด็นอื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2546 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 มกราคม 2554

 

ต่อมากระทรวงการคลังยื่นคำร้องอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุดว่า กระทรวงการคลังเป็นบุคคลภายนอก ซึ่งมีส่วนได้เสียและถูกกระทบจากผลแห่งคดีนี้โดยตรง จึงมีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดี หรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 

 

และบริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ที่ 1 กับพวก ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุดว่า พยานหลักฐานที่กรมควบคุมมลพิษอ้างไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วมีผลเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ ตามมาตรา 75 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 บันทึกถ้อยคำของพยานบุคคลและพยานเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.650 ในคดีของศาลอาญาตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อ.4197/2558 นั้นมีที่มาจากรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านทราบถึงการมีอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีในชั้นอนุญาโตตุลาการและในศาลปกครองครั้งก่อน เป็นเอกสารราชการที่ผู้คัดค้านทำถึงหน่วยงานราชการอื่นๆ ตลอดจนเอกชนและรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ที่จัดทำขึ้นก่อนวันที่ 20 สิงหาคม 2540 ซึ่งเป็นวันทำสัญญาโครงการ จึงไม่อาจถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่ได้

 

และในที่สุด ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำสั่งและคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เป็นให้ยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของกรมควบคุมมลพิษและกระทรวงการคลัง และให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 50/2546 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 มกราคม 2554

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising