น้ำตาสีฟ้าขาวนองทั่วสนามนิชห์นี นอฟโกร็อด สเตเดียม
เหล่ากองเชียร์แห่งทีม ‘อัลบิเซเลสเต’ อยู่ในสภาวะที่ทำอะไรไม่ถูกนอกจากการปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม บ้างดึงทึ้งผมด้วยความอัดอั้น บางคนเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าทั้งที่รู้ว่าไม่มีคำตอบอะไรอยู่บนนั้น
ความหวังและกำลังใจหนึ่งเดียวของพวกเขาก็เช่นกัน สิ่งที่ลิโอเนล เมสซี ทำมีแค่การก้มมองลงไปที่พื้นด้วยแววตาที่ไม่อาจปิดกั้นความเจ็บปวดเอาไว้ได้
ความพ่ายแพ้หรือความผิดหวังต่อผลการแข่งขันและโอกาสในรายการใหญ่อย่างฟุตบอลโลกนั้นไม่ใช่ถึงกับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับมัน
แต่การพลาดแบบไม่น่าให้อภัยของวิลลี กาบาเยโร ที่นำไปสู่การเสียประตูแรกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะนั้นเป็นสิ่งที่นักเตะอาร์เจนไตน์ทุกคนหมดปัญญาจะสรรหาคำอะไรมาใช้บรรยายความรู้สึกที่อยู่ข้างใน
อาร์เจนตินาแพ้ได้ แต่ในขณะที่ทุกคนในสนามกำลังพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่ในการประมือกับทีมที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเช่นโครเอเชีย พวกเขาจะมาเสียประตูด้วยความผิดพลาดระดับเด็กอนุบาลแบบนี้ไม่ได้
มันทำลายสิ่งที่ทีม -ซึ่งความจริงก็ไม่อยู่ในสภาพที่สมประกอบนักได้พยายามสร้างมา
เหนืออื่นใด มันได้ทำลายความหวังของคนที่เป็นศูนย์รวมของทีมอย่างเมสซีด้วย
อย่างที่เรารู้ครับว่าไม่เพียงเฉพาะคนอาร์เจนตินา หากแต่มีแฟนบอลอีกมากมายมหาศาลทั่วโลกที่อยากเห็นเมสซีได้สัมผัสกับโทรฟีสีทองอันเป็นดัง ‘มงกุฎ’ ของ ‘ราชาลูกหนัง’ สักครั้ง
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นสิ่งล้ำค่าสิ่งสุดท้ายที่นักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดคนหนึ่งปรารถนาและพยายามจะทำความฝันสุดท้ายของเขาให้กลายเป็นความจริงให้ได้
เมสซีพาทีมไปได้ไกลที่สุดในฟุตบอลโลกเมื่อ 4 ปีที่แล้วในเกมนัดชิงชนะเลิศกับเยอรมนี
ขณะที่ตัวเขาเข้าใกล้กับถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกมากที่สุดในระยะห่างเพียงหางตา แต่ไม่อาจเอื้อมมือที่จะไปคว้ามันได้
สำหรับครั้งนี้ในวัย 30 ปี และกำลังจะครบ 31 ปีในอีก 2 วันข้างหน้า (24 มิ.ย.) ฟุตบอลโลกครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายสำหรับเขาแล้ว
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนจำนวนมากเอาใจช่วยเขาเป็นพิเศษ เช่นกันกับทุกคนในอาร์เจนตินาที่ฝากความหวังเอาไว้บนสองบ่าของนักฟุตบอลที่พวกเขาเชื่อกันว่าสามารถดลบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้
แต่ความคิดนั้นผิด เพราะเมสซีได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ว่าฟุตบอลคือกีฬาที่เล่นเป็นทีม และไม่สามารถที่จะโยนความรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ใครคนใดคนหนึ่งแบกรับมันเพียงลำพัง
สิ่งที่เราได้เห็นตลอด 180 นาทีของอาร์เจนตินาในฟุตบอลโลกครั้งนี้คือพวกเขามีทีมที่ย่ำแย่มาก
แย่จนแทบจะนึกไม่ออกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเคยเห็นทีมอาร์เจนตินาที่เลวร้ายขนาดนี้อีกหรือไม่
บางทีอาจจะเป็นปี 1994 ปีแห่งฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของดิเอโก มาราโดนา ซึ่งจบลงด้วยความเลวร้ายเกี่ยวกับเรื่องของสารเสพติด ปีนั้นอาร์เจนตินาเล่นเหมือนเป็นทีมดาดๆ แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ยังมีประตูของมาราโดนาที่เกิดจากการต่อบอลสวยงามฉบับละตินให้เป็นที่จดจำและเป็นรางวัลปลอบใจ
แต่สำหรับครั้งนี้ไม่มีอะไรแบบนั้น
อาร์เจนตินาที่อ่อนแอเกินจะรับไหวทีมนี้ไม่สามารถแม้แต่จะสยบไอซ์แลนด์ ทีมน้องใหม่ในฟุตบอลโลกได้
และมาถึงทีมที่เหนือกว่าไอซ์แลนด์ทุกด้านอย่างโครเอเชีย พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากการแพ้อย่างหมดรูป
ทีมของซลัตโก ดาลิช ซึ่งวางรากฐานทีมด้วยระบบการเล่นที่แข็งแกร่ง เล่นแบบเจียมเนื้อเจียมตัว แต่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งและความเด็ดขาดที่เกิดจากการเคี่ยวกรำของเหล่านักเตะระดับโลกในทีม ไม่ว่าจะเป็น ลูกา โมดริช, อีวาน ราคิติช, มาริโอ มานด์ซูคิช เรื่อยไปจนถึงเดยัน ลอฟเรน
เพียงแต่ต้องยอมรับว่า ‘ฟ้าขาว’ ก็ทำได้ดีเหมือนกันในช่วงแรก อย่างน้อยก็สู้ยิบตาจนรักษาตัวรอดได้ 45 นาที
จนกระทั่งหายนะของกาบาเยโรที่ทำให้สถานการณ์ของอาร์เจนตินาหาทางกลับไม่พบ
แล้วเมสซีไม่คิดจะทำอะไรสักหน่อยหรือ
ที่เห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยใจ เมสซีเองเล่นเหมือนคนไม่มีความสุขนักตั้งแต่เกมแรก
ตัวเลขสถิติของเขาเลวร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ ในเกมกับไอซ์แลนด์ เมสซีวิ่งด้วยระยะทางแค่ 7.61 กิโลเมตร น้อยที่สุดในบรรดานักเตะที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตูทุกคน
ขณะที่สถิติการสปรินต์ (วิ่งเร็ว) เมสซีสปรินต์แค่ 17 ครั้ง เป็นจำนวนครึ่งหนึ่งที่คูตินโญ หรือเมซุต โอซิล วิ่งในระหว่างเกม และที่น่าเหลือเชื่อคือความเร็วสูงสุดที่เมสซีวิ่งในเกมแรกคือ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่คริสเตียโน โรนัลโด วิ่งด้วยความเร็ว 34 กิโลเมตรชั่วโมง
ไม่นับในเวลาที่ไม่มีบอล เมสซีหาพื้นที่ได้ระยะทางแค่ 1.42 กิโลเมตร น้อยยิ่งกว่ารุย ปาทริซิโอ หรือโมฮาเหม็ด เอล-เชนาวี ประตูทีมชาติโปรตุเกสและประตูทีมชาติอียิปต์
และในเกมเมื่อคืนนี้ที่ปราชัยย่อยยับต่อโครเอเชีย เขาสัมผัสบอลตลอดทั้งเกมแค่ 49 ครั้ง โดยเป็นการสัมผัสบอลในพื้นที่คู่ต่อสู้เพียง 6 ครั้ง ซึ่งตรงกับภาพบน Heat Map (แผนภูมิที่แสดงให้เห็นว่าในระหว่างเกมอยู่ในพื้นที่ไหนบ้าง) ที่บ่งบอกว่าเมสซีแทบจะต้องลงมาล้วงบอลต่ำในแดนตัวเองทั้งเกม
การพูดว่าเขาคือคนที่แบกรับทีมทั้งทีมอยู่จึงเป็นคำพูดที่ไม่ผิด
เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
แต่นั่นหมายถึงแรงกดดันมหาศาลที่เมสซีต้องแบกรับแทนเพื่อนร่วมทีมทุกคน ซึ่งหลายคนไม่ได้คิดที่จะโยนความรับผิดชอบให้ เพียงแต่พวกเขาเองก็ไม่มีทางเลือกมากไปกว่าการฝากบอลหรือมองหาเมสซีก่อนเป็นลำดับแรกมากกว่าการจะคิด เล่น หรือทำอะไรด้วยตัวเอง
พวกเขาเองก็คิดว่าต้องทำ ‘เพื่อเมสซี’ มากกว่า ‘เพื่อทีม’
ความจริงโปรตุเกสก็เล่นด้วยแนวคิดคล้ายกันคือ ‘เพื่อโรนัลโด’ แต่ความแตกต่างคือมีนักเตะฝีเท้าที่ดีกว่า และพวกเขายังคิดจะทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง ซึ่งตรงข้ามกับอาร์เจนตินาที่บอลต้องเริ่มต้นและจบลงที่นักเตะหมายเลข 10 เพียงคนเดียว
มันทำให้คู่แข่งที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถคาดเดากลยุทธ์การเล่นของอาร์เจนตินาได้อย่างง่ายดาย เห็นเมสซีอยู่ตรงไหนก็เข้าไปปิดพื้นที่ตรงนั้น จบ ทีมฟ้าขาวจะกลายเป็นลูกแมวน้อยเชื่องๆ ธรรมดาทันที
เหมือนที่ไอซ์แลนด์ทำได้ในเกมแรก และโครเอเชียที่ส่งมาร์เซโล โบรโซวิช และอีวาน ราคิติช เพื่อนร่วมทีมในระดับสโมสรของเมสซี ซึ่งเป็นหนึ่งในคนสำคัญที่รู้เป็นอย่างดีว่า ‘ลีโอ’ เล่นแบบไหน
เมื่อรวมกับที่เมสซีดูท้อแท้ ไม่ว่าจะกับเพื่อนร่วมทีมซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่คิดจะปิดบังผ่านภาษากาย ไม่ว่าจะด้วยสีหน้า แววตา การก้มหน้า หรือมือที่กุมขมับให้เห็นบ่อยๆ หรือการท้อแท้กับตัวเองที่ต้องแบกรับความกดดันมากมายมหาศาลตลอดระยะเวลานับสิบปี
แรงกดดันที่มากล้นทำให้เขาพลาดจุดโทษอีกครั้ง ซึ่งเป็นการทำร้ายและทำลายตัวเองอย่างร้ายกาจ
เมื่อรวมกับโค้ชที่อาจจะเคยทำผลงานได้ดีกับชิลี แต่ไม่มีอะไรสักอย่างที่เหมาะสมกับทีมอาร์เจนตินา ซึ่งหนึ่งในการตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุดของซัมเปาลีคือการเปลี่ยนระบบการเล่นในยามหน้าสิ่วหน้าขวานมาใช้ระบบ 3-4-3 ที่ตัวเองถนัด ทั้งที่ลูกทีมไม่ถนัด (นักเตะอาร์เจนตินาถนัดการเล่นระบบกองหลัง 4 คนมากกว่า) และอย่างที่เราได้เห็นกันครับว่าระบบนี้ล้มเหลวตั้งแต่ต้นจนจบ
ผู้เล่นหลายคนที่ควรได้รับโอกาสบ้างก็ไม่ได้รับโอกาส เพราะซัมเปาลีเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิด
ไม่นับความล้มเหลวของวงการฟุตบอลอาร์เจนตินาที่ผลิตได้แต่ตัวรุก แต่กลับไม่สามารถผลิตนักฟุตบอลชั้นดีในหลากหลายตำแหน่งได้เหมือนในอดีต การที่นักเตะอย่างฮาเวียร์ มาสเคราโน ซึ่งหมดสภาพไปแล้วในเกมระดับสูงสุดยังต้องฝืนเป็นแกนหลักนั้นบ่งบอกอะไรได้เป็นอย่างดี
ทุกอย่างมันกำลังนำเราไปสู่จุดเริ่มต้นของตอนจบ
มันอาจเป็นไปได้ที่จะมีปาฏิหาริย์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นและนำเมสซีและอาร์เจนตินากลับมาสู่เส้นทางอีกครั้ง ซึ่งหากกลับมาได้ก็มีโอกาสเช่นกันที่พวกเขาจะไปได้ไกลเท่าที่ต้องการ เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาที่ชื่นชอบเรื่องปาฏิหาริย์เสมอ
แต่สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าคือตอนจบที่แสนเศร้าของนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จทุกอย่างในระดับสโมสรและชีวิตส่วนตัว แต่ไม่อาจพาทีมชาติของเขาไปสู่การเป็นแชมป์โลกได้
ทั้งๆ ที่เขาเองก็ได้พยายามทุกอย่างมาเป็นเวลาหลายปีเพียงลำพัง
เมสซีกำลังสูญสลายกลายเป็นอากาศ เป็นฝุ่นผง
และไม่มีใครจะรักษาเขาไว้ได้อีกต่อไป