เกิดอะไรขึ้น:
Bloomberg รายงานว่า บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เตรียมออกตราสารหนี้เพื่อสังคม อายุ 4 ปี มูลค่า 335 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ย 6.875% ในช่วงปลายเดือนกันยายน โดยนับเป็นครั้งแรกที่ MTC ได้รับการจัดอันดับเครดิตสากลที่ BB- และ BB จาก S&P และ Fitch ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าระดับน่าลงทุนอยู่ 2-3 ขั้น
ทั้งนี้ อ้างอิงข้อมูลจาก IR ของ MTC เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการออกตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐครั้งนี้คือ เพื่อกระจายแหล่งเงินทุนและเพื่อเพิ่มความยั่งยืนของแหล่งเงินทุนในระยะยาว
ผลกระทบ: ต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ 6.875% ของตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่ MTC จะออกครั้งนี้สูงกว่าคาด และสูงกว่าต้นทุนทางการเงินใน 2Q67 ที่ 4.1% และอัตราดอกเบี้ย 4.95-5% ของหุ้นกู้ในประเทศไทย อายุ 4 ปีที่ออกในเดือนสิงหาคม ค่อนข้างมาก
InnovestX Research ปรับประมาณการต้นทุนทางการเงินปี 2568 และ 2569 ของ MTC เพิ่มขึ้นปีละ 9 bps โดยคาดว่าต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้น 10 bps ในปี 2568 และจะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป แม้ว่ารวมโอกาสที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps ใน 4Q67 และ 50 bps ใน 1H68 เข้ามาไว้ในประมาณการแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ คาดว่า MTC จะลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้จาก: โอกาสที่จะประหยัดต้นทุนได้จากการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในประเทศ และความเป็นไปได้ที่บริษัทจะปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ Fitch ให้อันดับเครดิตในประเทศของ MTC ที่ A- ซึ่งสูงกว่าระดับ BBB+ ที่ TRIS เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในประเทศน่าจะช่วยประหยัดต้นทุนการออกตราสารหนี้ในประเทศได้ประมาณ 100 bps นอกจากนี้ MTC ยังสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อชดเชยต้นทุนระดับสูงของตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ด้วย SAWAD และ TIDLOR ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใน 2H66 และ 1H67 เพิ่มขึ้น >100 bps แล้ว แต่ MTC ยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้เท่าเดิม
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น MTC ปรับขึ้น 11% สู่ระดับ 50.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 7.9% สู่ระดับ 1,462.10 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรของ MTC ลดลง 3% สำหรับปี 2568 และ 4% สำหรับปี 2569 โดยปัจจุบันคาดว่ากำไรของ MTC จะเติบโต 18% ในปี 2567, 23% ในปี 2568 และ 23% ในปี 2569 ซึ่งยังคงเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มเงินทุน การคาดการณ์ว่ากำไรจะเติบโตดีได้รับการสนับสนุนจากสินเชื่อที่เติบโตดีและ Credit Cost ที่คาดว่าจะลดลง
กลยุทธ์การลงทุนยังคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ MTC โดยปรับราคาเป้าหมายลดลงจาก 58 บาทสู่ 56 บาทต่อหุ้น อ้างอิง PBV 2.7 เท่า (ได้มาจาก ROE ระยะยาวที่ 18%, Cost of Equity ที่ 9.9% และการเติบโตระยะยาวที่ 5%) หรือ P/E 16.7 เท่าสำหรับปี 2568
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึงและช้ากว่าคาด, ความเสี่ยงด้าน Credit Cost จากราคารถมือสองที่ลดลง, การแข่งขันที่สูงขึ้นจากธนาคาร, ความเสี่ยงด้านกฎหมาย และความเสี่ยง ESG จากการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct)