×

เครื่องยกกระชับตัวไหนดีที่สุดในโลก เคลียร์คัตกับ หมอบาส เฉลิมชัย WIND Clinic

23.09.2024
  • LOADING...
WIND Clinic

ดูเหมือนว่าวงการความงามในปัจจุบันจะมีแต่อะไรใหม่ๆ มาสร้างความตื่นเต้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับหัตถการเครื่องที่ช่วยเรื่องยกกระชับหน้าและฟื้นฟูงานผิว ซึ่งล่าสุดก็มีนวัตกรรมน้องใหม่จากเกาหลีอย่าง Volnewmer ลงสังเวียนไปอีกตัว

 

เมื่อลองเสิร์ชข้อมูลก็พบว่านอกเหนือจาก Volnewmer ยังมี Volformer ที่เป็นการรวมตัวกันของ Volnewmer + Ultraformer MPT ไปอีก ซึ่งเราเชื่อว่าต่อให้เราจะเสพข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตมากแค่ไหน สุดท้ายเราก็ยังตอบตัวเองได้ไม่เต็มร้อยว่า ‘หัตถการใดที่เหมาะกับปัญหาผิวและรูปหน้าของตัวเองที่สุด’

 

งานนี้เราเลยบุกไปที่คลินิกที่มีเครื่องยกกระชับเด่นครบครันอย่าง WIND Clinic พร้อมล้วงลึกตั้งแต่เทรนด์ความงามในปัจจุบัน ปัญหาผิวระดับท็อปของแต่ละช่วงวัย ไขทุกเรื่องสำคัญที่ต้องรู้เกี่ยวกับการทำหัตถการเครื่อง

 

 

รวมถึงพิสูจน์นวัตกรรมตัวใหม่ที่ใครหลายคนเล็งไว้อย่าง Volnewmer และ Volformer กับแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านเวชศาสตร์ความงามมากว่า 18 ปีอย่าง นพ.เฉลิมชัย ศรีอัครพงศ์ (หมอบาส) Medical Director of WIND Clinic และแพทย์ AMI Trainer Thailand หนึ่งเดียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้รับเลือกเป็นแพทย์ 1 ใน 3 ของไทยและเอเชียให้เป็น Mentee ของศัลยแพทย์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Dr.Mauricio de Maio ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘บิดาแห่งวงการฟิลเลอร์’

 

 

เชื่อว่าคำแนะนำของหมอบาสจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่กำลังสนใจนวัตกรรมยกกระชับหน้า รวมถึงมือใหม่ที่สนใจอยากก้าวเข้าสู่วงการฝากหน้าไว้กับมือหมออย่างแน่นอน

 

 

เทรนด์ความงามรูปหน้าในปัจจุบันเป็นอย่างไร

หมอบาส: ลองย้อนกลับไปเมื่อประมาณสัก 5 ปีก่อนหน้านี้ เรามักจะบอกว่าเทรนด์ความงามที่จะมาคือการที่เราเน้นเรื่องการปรับโครงสร้างใบหน้าโดยที่ไม่ต้องผ่าตัด เราคิดว่าน่าจะเป็นเทรนด์ความงามที่ Less Invasive คือมี Minimal Invasive (แผลเล็ก) เท่านั้น แต่ ณ ปัจจุบันพิสูจน์แล้วครับว่าถ้าดูตลาดจริงๆ ดูยอดการเจริญเติบโตจริงๆ โรงพยาบาลศัลยกรรมความงามก็โตเช่นกัน

 

นั่นหมายถึงว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด หรือว่ามีประสิทธิภาพการรักษาที่ดี คนไข้ล้วนเปิดใจที่จะทำครับ ไม่ว่าจะเป็น Minimal Invasive หรือเป็นการรักษาด้วยการทำ Surgical Procedure ก็ตาม

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว การเสริมจมูกเป็นเรื่องน่ากลัว เป็นเรื่องต้องหลบต้องซ่อน ตอนนี้การเสริมจมูกเป็นเรื่องปกติแล้ว เพราะฉะนั้นเทรนด์มันเปลี่ยนไปมาก แล้วเปลี่ยนไปในทิศทางที่เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ ในสมัยก่อนเราคิดว่ามันควรจะเป็น Minimal Invasive ไปเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกันคือ คนไข้ยอมรับที่จะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โดยเฉพาะเจเนอเรชันใหม่ๆ, Gen X หรือรุ่นคุณพ่อคุณแม่เราก็ตาม หลายๆ คนก็เปิดใจที่จะทำ Face Lift กันมากขึ้น

 

ความกังวลอันดับหนึ่งของคนไข้ที่หมอบาสพบมากที่สุดคืออะไร

หมอบาส: ถ้าเป็นคนกลุ่มอายุมากขึ้น สิ่งที่เขากังวลมากก็คือการรู้สึกว่าผิวดูไม่กระชับ รู้สึกว่าหน้ามีการเปลี่ยนแปลงไป ปัญหายอดฮิตเลยคือความกังวลจุดไหนรู้ไหมครับ ตรงนี้ครับ Jowls (ชี้บริเวณแก้ม) บริเวณแก้มที่มันห้อย อันนี้จะเป็นกลุ่มคนไข้ที่อายุมากกว่า 40 ปีเป็นต้นไป เขาไม่ได้อยากหน้าเรียว แต่เขาอยากให้หน้าดูกระชับขึ้นแค่นั้นเอง

 

 

ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มคนไข้วัยรุ่น โดยคนไข้อายุประมาณ 20-30 กว่าปีจะไม่ได้กังวลเรื่องความไม่กระชับ แต่กังวลว่ารูปหน้าดูกาง ดูหน้าไม่เรียว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ K-Pop ในบ้านเราค่อนข้างที่จะมาแรง เพราะฉะนั้นเขาก็จะปรับทำให้โครงหน้าดู Contour ดูหน้าเรียวขึ้น อยากให้หน้าดูมีมิติมากขึ้น คนอายุน้อยเลยมักจะฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ยิงเลเซอร์ยกกระชับ แต่ไม่ได้หวังผลยกกระชับหรอกครับ หวังปรับโครงหน้าให้ดูเล็กลง หรือการทำ Augmentation บางจุดที่ทำให้หน้าดูมีมิติขึ้น เพราะอย่าลืมว่าเอเชียแบบเราขมับแบน จมูกแบน คางไม่ยืด ปากก็เรียกว่าไม่สมส่วน การทำให้หน้าผากดูโหนกขึ้น จมูกดูโด่งขึ้น งานริมฝีปาก การทำคางให้ยื่น มันเลยมา

 

วัย 30 ปีถือว่ามีความกังวลเรื่องความหย่อนคล้อยด้วยไหม

หมอบาส: วัย 30 ปีถือเป็นวัยเปลี่ยนผ่าน เรารู้สึกว่าหน้าเริ่มมีความไม่กระชับแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกว่าหน้าดูไม่มีมิติอยู่ดี ถ้ายังไม่ถูกแก้มาก่อนในวัย 20 ปีนะ วัย 30 ปีบางส่วนยังกังวลเรื่องนี้อยู่ครับ

 

เชื่อว่าประสบการณ์ของหมอบาสตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาคงได้เจอมาหลากหลายเคส มีเคสไหนที่หมอบาสภาคภูมิใจมากที่สุดไหม

หมอบาส: ถ้ามากที่สุดก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ตอนจบหมอมาเราไม่ได้อยากเป็น Aesthetic Physician เราอยากเป็น Pediatrician หมอรักษาโรคหัวใจเด็ก แต่ตอนนั้นมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราทำตามความฝันเราไม่ได้ เราก็เลยมาทำ Aesthetic แล้วเป็นช่วง Suffer เพราะหลังทำมาสัก 3 ปี เริ่มรู้สึกว่าเราใช้ความรู้ความสามารถของเรามารักษาสิว ฝ้า กระ เหรอ ทำไมถึงไม่เอาไปรักษาคนไข้ที่ควรจะต้องทำการรักษานะ นั่นคือความคิดของหมอในตอนนั้น

 

แต่ ณ ตอนนั้นมีน้องคนหนึ่งที่เดินเข้ามาช่วยชีวิตแล้วก็เปลี่ยนมุมมองของหมอ น้องเป็น LGBTQIA+ มารักษาสิว เขาสิวเยอะมาก เราก็รักษาไปตามปกติครับ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีปัญหาอะไรอยู่บ้าง เรารู้สึกว่าเรารักษาด้าน Physical กับเขา แต่วันที่สิวเขาหายเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตหมอ เขาเดินมาขอบคุณหมอ ยังจำคำพูดได้เลย เขาบอกหมอว่า “พี่หมอ หนูขอบคุณนะคะ สิวหนูหายแล้ว หนูกล้าไปมหาวิทยาลัยแล้ว” เป็นเรื่องที่หมอประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาดร็อปเรียน เขาเป็น LGBTQIA+ แล้วรู้สึกว่าเขาไม่สวย และเขาเพิ่งขึ้นปีหนึ่ง เขาไม่อยากไปเจอเพื่อน เพราะฉะนั้นมันเตือนสติว่าการรักษาด้าน Aesthetic ไม่ได้รักษาแค่ Disease แต่ยังรักษาบางอย่างที่อยู่ในนี้ (ชี้ที่หัวใจ)

 

 

เพราะฉะนั้นปัจจุบันการรักษาของหมอคือเมื่อไรก็ตามที่คนไข้เดินเข้ามาในคลินิก ต้องมี Something Somewhere Broken แล้วสิ่งนั้นก็มักจะอยู่ตรงนี้ (ชี้ที่หัวใจ) มันเลยกลายเป็นคอนเซปต์ของคลินิกเราครับ

 

เราจะเสิร์ฟสิ่งที่คนไข้ต้องการ ความกังวลที่เขามี คุ้ยปัญหา เขี่ยมันออกว่าจริงๆ กังวลอะไร หมอมองว่ามันคือ Quality of Life ไม่ใช่แค่รักษาเรื่องใบหน้าให้สวยขึ้น แต่ทำให้เขามี Quality of Life ที่ดีขึ้น เหตุการณ์นั้นเลยทำให้เราทำงานในสายนี้ได้แฮปปี้ขึ้นมากเพราะเราเห็นคุณค่าในงานที่เราทำ

 

 

พูดถึงนวัตกรรมใหม่ของเรากันหน่อย ด้วยความที่ตัวเลือกหัตถการเครื่องมีเยอะมาก ในปัจจุบัน Volnewmer ถือว่าอยู่ในจุดไหนในท้องตลาด

หมอบาส: ถ้าพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีของ Energy-Based Device นั้น Volnewmer ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีใหม่ Volnewmer เป็นการใช้คลื่น Monopolar-RF หรือคลื่นวิทยุขั้วเดียว ซึ่งเจ้าตลาดที่มีมาก่อนคือ Thermage แต่สิ่งที่ทำให้การใช้ Monopolar-RF สะดวกและง่ายขึ้นคือเทคโนโลยีอื่นที่มากับเครื่องครับ

 

 

อย่าง Thermage เวลายิงจะมี Gas Cooling ดังปุดๆ โดยจังหวะแรกที่ปล่อยพลังงานจะมีแก๊สออกมาให้ผิวเย็น และหลังจากปล่อยคลื่นออกไปแล้ว แก๊สจะปล่อยอีกครั้งตอนสุดท้าย ช่วงที่ปล่อยพลังงานจะไม่มีความเย็นเลย คนไข้เลยเริ่มรู้สึกร้อน แล้วอาจจะมีความรู้สึก Discomfort ครับ

 

แต่สำหรับ Volnewmer นั้นมาพร้อม Cooling Mode ที่เป็น Hydro Continuous Cooling นั่นหมายความว่ามีความเย็นตลอดที่เราปล่อยพลังงาน คนไข้เลยจะรู้สึกสบายกว่า อาจจะรู้สึก Discomfort น้อยกว่า

 

ตัวเครื่องแก้ Pain Point ด้วยการทำให้หัวทิปมีการยกขอบขึ้นมา ซึ่งปกติเวลายิง Monopolar-RF บางทีตรงขอบอาจทำให้เกิดอาการเบิร์นได้ง่าย แต่อันนี้เขายกขอบขึ้น ช่วยลดการเกิด Complication ได้ด้วยครับ

 

สิ่งที่ Volnewmer แตกต่างจาก Thermage มากๆ คือเรื่องระดับความลึกของการปล่อยพลังงาน Thermage จะปล่อยได้ลึกกว่าที่ 4.3 มิลลิเมตร ส่วน Volnewmer ปล่อยเพียงแค่ 3 มิลลิเมตร เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าเป็นจุดด้อยก็ได้หรือจุดเด่นก็ได้เหมือนกัน

 

จุดด้อยคือไม่สามารถทำลายไขมันชั้นลึกได้เพราะยิงแค่ 3 มิลลิเมตร แต่สิ่งที่ทำได้มากกว่าคือเรื่องของงานผิว ช่วยให้ผิวแน่นขึ้นได้ ลดริ้วรอยเล็กๆ ได้ ยกกระชับหน้าจากการเกิด Skin Tightening ได้ดี เลยเป็นจุดเด่นของ Volnewmer และที่สำคัญคือ Volnewmer มาพร้อมกับหัวทิปที่ไม่มี Time Limit

 

ถ้าเรากลับไปดู Thermage เวลายิงหนึ่งหัวต้องยิงให้หมดภายใน 4-6 ชั่วโมง เพราะไม่อย่างนั้นหัวจะถูกตัดทิ้งไปเลย อย่าง Thermage FLX หนึ่งหัวจะมี 900 ช็อต ซึ่งเป็นหัวใหญ่ จะยิงได้แค่บริเวณใบหน้ากับคอ แต่ Volnewmer ไม่ใช่ Volnewmer มาพร้อมหัวทิปหลายแบบ ไม่มี Time Limit

 

นั่นหมายความว่าถ้าคนไข้หนึ่งคนยิง Thermage อยากยกเปลือกตาบนพร้อมหน้าก็ต้องเปิดสองหัว คือหัวหน้าและหัวขนาดเล็กที่ยิงรอบดวงตาได้ แต่ Volnewmer ไม่ต้องเปิดหัวใหม่ สามารถใช้ Applicator สลับหัวยิงทั้งหน้าและตาได้เลย ดังนั้นเรื่อง Budget ก็จะน่ารักกว่า สบายกระเป๋าขึ้น เลยทำให้ Volnewmer น่าจะเข้ามาตอบโจทย์การรักษาคนไข้ได้สะดวกสบายมากขึ้นครับ

 

ถ้าเทียบกับมวยคู่เดียวกันก็จะมี Thermage และ Oligio อีกนวัตกรรมจากเกาหลีด้วยเช่นกัน

 

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเหมาะกับเครื่องไหน

หมอบาส: หมอเชื่อว่าตอนนี้การ Serving ข้อมูลเยอะแยะไปหมด เรารับข้อมูลข่าวสารได้จากหลายที่หลายทางมาก ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเหมาะกับตัวไหน ต้องบอกอย่างนี้ครับ ต่อให้เราอ่านข้อมูลมาเยอะแยะด้าน Medical มาหมด เราจะวินิจฉัยตัวเองได้ไหมว่าเป็นโรคอะไร… คำตอบคือคงต้องใช้ความสามารถของคุณหมอในการตรวจร่างกาย คลำ ทำการวินิจฉัย แล้วค่อยแนะนำการรักษา เหมือนกับ Traditional Medicine เลยครับ

 

เพราะฉะนั้นคุณหมอก็คงต้องขอตรวจก่อนว่าจริงๆ ปัญหาที่ผิวดูคล้อยนั้นเกิดที่ชั้นไหน แฟตคนไข้หนาไหม เลเยอร์ผิวชั้นไหนที่มีปัญหา แล้วค่อยทำการรักษาที่ชั้นนั้น อย่าลืมว่าผิวเรามีหลายชั้น แต่ละชั้นรักษาด้วยเครื่องมือไม่เหมือนกัน

 

 

เช่น คนไข้มุมปากตก ต้องมาตรวจว่าเกิดจากไขมันที่คล้อยลงมาแล้วทำให้มุมปากตก หรือเกิดจากกล้ามเนื้อยกมุมปากที่ตก

 

สรุปว่าจะรู้แน่นอนได้อย่างไรว่าเราเหมาะกับเครื่องไหน คงรู้ได้คร่าวๆ ครับ ท้ายที่สุดแล้วการได้รับคำแนะนำจากคุณหมอยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการวินิจฉัยให้แน่นอนว่าเราควรจะเอา Budget ที่มีไปรักษาที่เลเยอร์ไหนมากกว่า

 

แปลว่าคนไข้ที่มองหาตัวช่วยลดแฟตและงานผิวก็สามารถเล็งๆ Volnewmer ไว้ก่อนได้

หมอบาส: เล็งๆ ไว้ได้ แต่ต้องมาดูนะว่าแฟตหนาขนาดไหน ถ้าแฟตหนามากอาจต้องทำร่วมกับเครื่องอื่นอย่าง Volformer จากที่อธิบายไปเมื่อครู่นี้คือ Volnewmer อีกเครื่องหนึ่งที่ใช้คู่กันจากบริษัทเดียวกันของเกาหลีเรียกว่า Ultraformer MPT ซึ่งเป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ มวยที่ต้องมาเทียบกันคือ Ulthera เพราะฉะนั้น Volformer คือการที่เราใช้ MPT ร่วมกับ Volnewmer

 

 

MPT มีประโยชน์อย่างไร MPT เป็นการใช้อัลตราซาวด์เพื่อหวังผลในการยกกระชับชั้นผิว SMAS แต่ก็ต้องเรียนตามตรงว่าไม่ได้มี Realtime Scanner เหมือน Ulthera เวลาที่ยิงชั้น SMAS จะเห็นว่ามีชั้นไขมัน มีชั้น SMAS แนวนอน คำถามคือบนหน้าเรา ไขมันแต่ละจุดหนาไม่เท่ากัน จะรู้ได้อย่างไรว่ายิงแล้วโดน SMAS ดังนั้น Ulthera เลยมีหัวที่ใช้ในการดู Realtime Scanner ที่หน้าจอก่อนว่า SMAS คนไข้อยู่ตรงไหนแล้วค่อยยิง เลยโดนหมดเกือบ 100%

 

ในทางกลับกัน Ultraformer III หรือ Ultraformer MPT มองไม่เห็น ต้องใช้ประสบการณ์ของแพทย์ในการเดา แต่สิ่งที่พิเศษกว่าคือมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า Micro-Pulse Technology

 

 

Ulthera จำนวน 1 ไลน์ หรือ 1 ช็อต จะสามารถปล่อยพลังงานได้ 17-21 ดอต แล้วแต่หัว แต่ MPT Mode นั้น 1 ไลน์สามารถปล่อยพลังงานได้ 417 ดอต เพราะฉะนั้นเลยเอา Ultraformer MPT มาใช้ร่วมกับ Volnewmer เพราะ Ultraformer MPT เหมาะกับการยิงไขมันชั้นลึกให้หายไป แล้วคอนเน็กต์กับ Volnewmer ก็จะทำให้พลังงานสอดคล้องกันทุกชั้นของผิว

 

 

เพราะฉะนั้นการใช้ Volformer เหมาะสำหรับการเปลี่ยนไซส์หน้าหรือคนแก้มใหญ่ เพราะยิงสลายไขมันด้วย MPT และเก็บไขมันชั้นตื้นด้วย Volnewmer คนไข้ที่ไขมันขยายขนาดออกหรืออ้วนขึ้น สกินก็ถูกยืดขึ้น มีความไม่กระชับ Volnewmer จะมาช่วยสิ่งนี้ด้วย ทำให้เกิด Skin Tightening ไปด้วยเลย โดยเฉพาะกับเหนียง

 

แบบนี้ถ้าจับ Thermage มาคู่กับ Ulthera ก็ยังถือเป็น Gold Standard อยู่ไหม

หมอบาส: ถูกต้อง ทั้งสองอย่างยังเป็น Gold Standard อยู่ แต่อย่าลืมว่า Ulthera ไม่มีหัว MP Mode เพราะฉะนั้นการสลายไขมันด้วยการใช้อัลตราซาวด์อาจจะสู้กับ MPT ไม่ได้ ถ้าเราใช้ Ulthera อยู่แล้ว สแกนเห็นแล้วว่าคนไข้มีไขมันเยอะพอสมควร เรายิง Ulthera ไปยกกระชับนะครับ แต่เราเอาหัว MP Mode ไปยิงสลายไขมัน

 

สุดท้ายแล้วเราพูดไม่ได้ว่าหนึ่งเครื่องจะจบได้ทุกโซลูชัน

หมอบาส: ไม่มีเครื่องไหนดีที่สุดในโลก มีเพียงแค่ว่าหัตถการหรือ Procedure ไหนเหมาะกับเรา ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไม WIND Clinic ต้องมีทุกเครื่อง การเลือกเครื่องที่เหมาะกับปัญหาคนไข้จะทำให้การรักษาคนไข้ดีที่สุด ไม่มีเครื่องที่ดีที่สุด มีแต่เครื่องที่เหมาะกับเราแค่นั้น

 

สมมติบ้านเรามีปัญหาแต่ผนัง ซ่อมผนังก็หาย แต่บางบ้านที่มีปัญหาผนังแตก แต่บางทีอาจเกิดจากเสาที่ทรุดด้วย แก้แต่ผนังเลยไม่จบ เพราะฉะนั้นปัญหาแต่ละคนไม่ได้เกิดที่เลเยอร์เดียวกัน ความรุนแรงต่อเลเยอร์สกินก็ไม่เหมือนกัน วิธีการคิด การวางแผนกับคุณหมอแต่ละท่านก็ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะรู้สึกว่าสกินสำคัญกว่า รักษาสกินก่อน อย่างหมออาจจะรู้สึกว่าโครงสร้างสำคัญกว่า ก็แล้วแต่สไตล์ครับ เลยทำให้มีความเห็นหลากหลายแบบในการรักษาคนไข้ครับ

 

 

แล้ว Volformer ของ WIND Clinic มีความพิเศษอย่างไร

หมอบาส: Volformer เป็นการใช้ MP Mode ซึ่งเป็นการใช้อัลตราซาวด์ร่วมกับ Volnewmer เราอาจจะคิดว่าก็ยิงเหมือนกันแหละ แต่สิ่งที่ต่างคือ ข้อแรก คนไข้คนไหนต้องยิงอะไรเท่าไร เรามีวิธีการวัดและมีการกำหนดชัดเจนเป็น Criteria ในคลินิกของคุณหมอทุกท่านว่าไขมันไซส์ประมาณไหนต้องแบ่งยิง MP Mode เพื่อสลายไขมันเท่าไร

 

 

สมมติยิง 1,000 ช็อตเท่ากัน หมออาจจะใช้สลายไขมัน 800 ยกกระชับผิวแค่ 200 ก็ได้ หรือไปอีกที่หนึ่งอาจจะยิง 600/600 เท่ากันก็ได้ แต่ถามว่าผลลัพธ์ที่ได้จะต่างกันไหม (ต่าง) เพราะเราทาร์เก็ตเลเยอร์ต่างกัน

 

อย่างที่หนึ่งคือมั่นใจว่าเรามี Specific Diagnosis วินิจฉัยให้ว่าจริงๆ แล้วคนไข้ต้องการอะไร และเราดีไซน์การรักษาให้โดยที่ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่า 1,000 ช็อตต้องยิงเท่านั้นเท่านี้ 1,000 ช็อตเราฟรีสไตล์เลย เราดีไซน์ได้เลยว่าต้องใช้หัวไหน อะไรเท่าไร เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ดีที่สุด

 

 

สองคือการยิง Energy-Based Device ซึ่งหมอจะพูดเสมอว่ายิงเครื่องเดียวกัน ยิงจำนวนช็อตเท่ากัน หน้าเดียวกัน คนไข้คนเดียวกัน แต่หมอสองคนยิงกันคนละครึ่งหน้า ผลรักษาไม่เหมือนกันนะ เพราะ Direction การวางแผนทรีตเมนต์ไม่เหมือนกัน

 

ยกตัวอย่างเช่นคุณหมอยิงพลังงานแนวขวาง อีกคนยิงแนวตะแคง หน้าก็ออกมาไม่เหมือนกันแล้ว เพราะฉะนั้นเรามีดีไซน์โครงหน้าคนไข้ตามโครงหน้าแต่ละคนด้วย คนไข้หน้าเหลี่ยมต้องยิงแบบไหนให้เล็กลง คนไข้หน้ากลมต้องยิงแบบไหนให้เล็กลง คนไข้หน้าแหลมอยู่แล้วจะต้องยิงแบบไหนให้หน้ามีมิติขึ้น

 

 

ที่ WIND Clinic ค่อนข้างที่จะมี Fluidity ครับ สามารถวางแผนการรักษาให้เหมาะกับคนไข้ได้แบบเฉพาะเจาะจงโดยที่ไม่มีกำหนดชัดเจนว่าแต่ละคนต้องทำอะไร อย่างน้อยเท่าไร เพราะเราเชื่อว่าคนไข้ปัญหาไม่เหมือนกัน และเชื่อว่าเราค่อนข้างที่จะมีประสบการณ์ในการดีไซน์โครงหน้าคนไข้ครับ

 

 

พูดถึงเรื่องช็อต โดยเฉลี่ยแล้วหน้ารวมเหนียงจะใช้ประมาณกี่ช็อต

หมอบาส: ขึ้นอยู่กับไซส์หน้า แบ่งเป็น S/M/L แล้วกัน ถ้า Volformer เริ่มต้นสัก 600 หน้าใหญ่ขึ้นมาหน่อยเป็นไซส์ M อาจจะสัก 900 หน้าไซส์ L อาจจะสัก 1,200 อันนี้คือรวมหน้าเหนียงนะครับ

 

 

 

แล้วถ้าเป็น Volnewmer เฉยๆ

หมอบาส: อันนี้เหมาะกับคนไข้ที่ไม่ต้องการสลายไขมันชั้นลึกถูกต้องไหมครับ ถ้า Volnewmer อย่างเดียวก็จะเหมาะกับไซส์ S และ M เริ่มต้นที่ 400 ครับ ประมาณ 600 หรือ 900 ก็พอแล้ว

 

 

Volnewmer ไม่เหมาะกับใคร

หมอบาส: แทบจะไม่มีเลย ยกเว้นคนที่มีโรคประจำตัว ข้อห้ามเลยคือคนไข้ที่มีโลหะ เช่น คนไข้ไปผ่าตัดมีดามเหล็กหรือไทเทเนียมอยู่ หรือคนไข้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ อันนี้ไม่แนะนำให้ใช้นะครับ เพราะเป็น Monopolar-RF ส่วน Thermage ก็ไม่ได้เหมือนกัน ส่วนหญิงตั้งครรภ์ไม่ให้ทำอยู่แล้วครับ

 

นอกจากนี้คนที่ยังไม่ต้องทำก็จะเป็นคนอายุน้อย เพราะเท็กซ์เจอร์ผิวก็ดี ไซส์หน้าไม่ได้ใหญ่ ไขมันไม่มี ผิวยังดูตึงกระชับอยู่ ริ้วรอยไม่มี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าวัย 30 ปีขึ้นไปเริ่มมีริ้วเล็กๆ เริ่มมีความไม่กระชับของผิว เริ่มมีไขมันชั้นตื้น อันนี้ทำได้หมดเลย นอกจากหน้าแล้วยังทำที่บอดี้ได้ด้วยนะ ความไม่กระชับของแขน หน้าท้อง เป็นต้น

 

 

มีส่วนไหนที่ห้ามทำไหม

หมอบาส: ห้ามยิงเข้าไปในเบ้าตา Energy-Based ทุกอย่างห้ามยิงเปลือกตาบนถ้าไม่ได้ใส่เครื่องมือป้องกัน ไม่อย่างนั้นจะทำให้ตาบาดเจ็บ ถ้าจะยิงต้องยิงบนกระดูกเสมอ

 

 

นอกจากหัตถการเครื่องแล้วก็จะมีเรื่องของเข็ม ถ้าเทียบกับการฉีดสลายด้วยเมโสแฟต สิ่งนี้ให้ผลลัพธ์เหมือนกันไหม

หมอบาส: เอาความจริงไหมครับ หมอไม่มีประสบการณ์การฉีดแฟตเลย เพราะไม่มีเมโสแฟตแบบฉีดตัวไหนที่ผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในไทย คลินิกหมอเลยไม่ใช้ แต่เดี๋ยวจะมีตัวยาสลายแฟตแบบฉีดที่ผ่าน อย. ตัวแรก Launch ในไทยครับ

 

ผลลัพธ์ของ Volnewmer อยู่ได้นานแค่ไหน

หมอบาส: ตามงานวิจัยของบริษัทบอกว่าทำหนึ่งครั้งอยู่ได้นานประมาณ 9 เดือนถึงหนึ่งปี

 

ถ้าเทียบกับ Volformer

หมอบาส: Volformer ยิงเครื่องมากกว่า Volnewmer ถ้าคิดตามหลักการแล้วควรจะอยู่ดีกว่า

 

ตอนทำต้องแปะยาชาไหม

หมอบาส: ควรแปะครับ จะได้รู้สึกสบายหน่อย แต่ก็ยังให้ความรู้สึกบนผิวอยู่ดี

 

แล้วเราควรมาทำบ่อยแค่ไหน

หมอบาส: ทุกเครื่อง Energy-Based Device บางเครื่องหวังผลในการสลายแฟตเซลล์ บางเครื่องหวังผลในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบนชั้นผิว ปกติแล้วการเกิดคอลลาเจนรีโมเดลลิ่งเห็นผลเต็มที่สักประมาณ 6 เดือนหลังจากทำ แต่คนไข้จะเริ่มเห็นชัด คนเริ่มทัก ในช่วง 1-3 เดือนแรก

 

หมายความว่าถ้าเราจะยิงพลังงานไว้ในชั้นเดิม สมมติเรายิง SMAS ไปแล้วเรายังจะยิง SMAS เหมือนเดิม แนะนำให้เว้นห่างกัน 6 เดือน แต่ถ้าเกิดยิง SMAS ไปแล้วอยากยิงชั้นอื่น เช่น อยากยิงสกิน อันนี้อยู่คนละเลเยอร์ ผ่านไป 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ก็ยิงได้แล้ว เพราะยิงทาร์เก็ตกันคนละเลเยอร์

 

 

และสิ่งที่แนะนำมากกว่านั้นคือ สมมติว่าคนไข้มาทำการรักษากับหมอ หมอยิง SMAS ไปแล้ว ผ่านไป 6 เดือน คนไข้บอกหมอว่ามันดีแต่อยากยิงให้หน้าเล็กกว่านี้อีก เป็นหมอ หมอไม่ทำ SMAS แล้วนะ หมอทำเลเยอร์อื่น เหตุผลเพราะหน้าเราเหมือนบ้าน เรามีเสาบ้าน คานบ้าน ฝาบ้าน หลังคาบ้าน เรารักษาฝาบ้านไปแล้ว รักษาไปแล้ว 6 เดือน มันยังไม่เสื่อมเลย ก็เปลี่ยนไปรักษาส่วนอื่นแทน เป็น Multi-Layer Technique เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีเครื่องมือทุกเครื่องทุกเลเยอร์

 

ในสมัยก่อนเราไม่มีทางเลือกนะครับ สมัยก่อนมีแค่ Ulthera และ Thermage คนไข้ยิง Ulthera ไปแล้วอยากเล็กอีกก็ต้องยิง Thermage ถ้าอยากเล็กอีกก็กลับมายิง Ulthera เพราะไม่มีเลเยอร์อื่นให้เรายิง แต่ตอนนี้มีเครื่องทุกเลเยอร์เลย สกินใช้ Sofwave ได้, Thermage ยิงไขมันชั้นลึกได้, Volnewmer ยิงชั้นตื้นได้, SMAS ยิง MPT ได้ ยิง Ulthera ได้, กล้ามเนื้อใช้ EMFACE ได้, กระดูกเราใช้ฟิลเลอร์ในการดูแลได้ เพราะฉะนั้นมีหลายเลเยอร์ที่ต้องทำการรักษา ไม่ได้หมายความว่าต้องกลับมาทำเครื่องเดิมซ้ำๆ

 

สังเกตไหมยิง Ulthera มาทุกปี หลังๆ จะเริ่มรู้สึกว่ายิง Ulthera แล้วเห็นผลน้อยลงเรื่อยๆ เพราะรักษาเลเยอร์ที่รักษาไปแล้ว ก็ต้องไปรักษาเลเยอร์อื่นที่ไม่เคยทำการรักษาครับ

 

การถูกรักษาด้วยเครื่องมือซ้ำๆ และเห็นผลลัพธ์น้อยอาจเกิดจากแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญในการวางแผนการรักษาด้วยหรือเปล่า

หมอบาส: อาจจะเป็นเรื่องข้อจำกัดด้วยครับ อย่างหมอเองสมัยก่อนเรามีแค่ 2 เครื่อง เราไม่มีเครื่องอื่นให้ทำ แต่เราหวังดีกับคนไข้ก็คงต้องทำแค่นั้น หมอยังมีความเชื่อว่าคุณหมอไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่เชี่ยวชาญ ไม่มีใครไม่หวังดีกับคนไข้ เรียกว่าเป็นจรรยาบรรณข้อหนึ่งที่เราทุกคนต้องยึดถือ แต่ทรัพยากรที่คุณหมอแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน เขาก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามีให้คนไข้เสมอ

 

 

ก่อนรับบริการ Volnewmer ต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษไหม

หมอบาส: ไม่เลยครับ สบายๆ แปะยาชาแล้วทำได้เลย

 

กรณีที่คนไข้ไปผลัดเซลล์ผิวมาก่อน มีผลต่อการรับบริการไหม

หมอบาส: เป็นคำถามที่ดีเลย ถ้าเกิดคนไข้มีผิวที่แห้งมาก ระคายเคืองง่าย อาจจะแนะนำให้หลีกเลี่ยง เนื่องจากว่าหนึ่งคือต้องมีการทายาชา ไม่ต้องไปถึง Volnewmer หรอก ถ้าคนไข้มี Chemical Burn มาแล้วทายาชาไปก็อาจจะเบิร์นมากกว่าเดิม

 

อย่างที่สองคือ Volnewmer เกิดความร้อน Accumulation ผิวคนไข้จะยิ่งแห้งลง อาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังครับ แต่ถ้าผลัดเซลล์ผิวมาไม่ได้แห้งก็สามารถทำได้นะครับ

 

อย่างคนที่ทาเรตินอล

หมอบาส: ทำได้ตามปกตินะครับ แต่ต้องมาตรวจก่อนว่าไม่มีอาการระคายเคืองจากเรตินอลนะ สิ่งที่ต้องพึงระวังในการทำเลเซอร์ Energy-Based Device ทั้งหมดคือห้ามทำตรงไหนก็ตามที่มีการติดเชื้อรุนแรง เช่น คนไข้ที่มีสิวอักเสบมากๆ เราก็ไม่แนะนำให้ทำ ห้ามทำในบริเวณผิวคนไข้ที่มีการอักเสบ อันนี้เป็นกฎพื้นฐานอยู่แล้วครับ

 

หลังทำ Volnewer มีข้อห้ามอะไรไหม ต้องดูแลตัวเองอย่างไร

หมอบาส: หลังทำหน้าคนไข้ก็จะแห้งลงนิดหน่อยครับ ให้ทามอยส์เจอไรเซอร์เยอะขึ้น แล้วก็งดการใช้ Energy-Based Device หรือเครื่องมือที่ใช้ในการนวดหน้าหรือเลเซอร์สักประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้ผิวกลับมาปกติก่อน แล้วค่อยกลับไปทำครับ

 

กัวซาก็ด้วยใช่ไหม

หมอบาส: ไม่ควรเลยครับ เลี่ยงสักหนึ่งสัปดาห์ครับ

 

ออกกำลังกายได้ตามปกติไหม

หมอบาส: ออกกำลังกายได้หมดครับ ทากันแดดด้วย

 

ข้อจำกัด ความเสี่ยง หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จาก Volnewmer คืออะไร

หมอบาส: เครื่องมือทุกตัวมี Pros & Cons อย่าง Volnewmer เป็น Monopolar-RF เพราะฉะนั้นเวลาปล่อยพลังงานลงไปที่ผิวชั้นบน 3 มิลลิเมตร สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือการใช้วิธียิงซ้ำๆ จุดเดิมบ่อยๆ โดยที่ไม่สังเกตอาการ เพราะอาจจะเบิร์นได้ อันนี้ก็อาศัยความสามารถของคุณหมอในการดูแลคนไข้ครับ

 

ซึ่งถ้ามีการใช้ Ultraformer MPT ด้วย การดูแลตัวเองก่อน-หลังก็เหมือนกัน

หมอบาส: ถูกต้องเหมือนกันเลย

 

คนไข้สามารถรับหัตถการอย่างอื่นไปด้วยได้ไหม เช่น จิ้มหน้า

หมอบาส: ก่อนรับบริการ Volformer, Volnewmer, Ulthera, MPT หรืออะไรก็ตาม คนไข้สามารถทำทรีตเมนต์สบายๆ ได้หมด แต่ไม่ให้มีหัตถการฉีดอื่นก่อนนะครับ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้จะมาฉีดฟิลเลอร์แล้วทำ Volnewmer เลย อันนี้ไม่ควร อย่างที่เรารู้ ไม่อย่างนั้นฟิลเลอร์ที่เราทำก็หายครับ

 

 

แต่หลังจากทำเสร็จถามว่าจะทำหัตถการอื่นอย่างการฉีดเพิ่มเติมได้ไหม ทำได้นะครับ แต่อาจจะต้องให้ความระมัดระวังและทิ้งระยะเวลาหน่อย เพราะอย่าลืมว่าหลังจากที่ทำ Volnewmer เสร็จจะมีความร้อนสะสมบนผิว ถ้าเราฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรืออะไรก็ตามเข้าไป ความร้อนที่สะสมอยู่อาจจะทำให้ผลการรักษาด้วยฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ลดลงก็ได้ครับ หรือเพิ่มโอกาสการเกิดรอยเขียวช้ำหลังจากยิงได้เพราะเส้นเลือดขยายขนาดอยู่

 

ถ้าคนไข้สามารถนะครับ คือเว้นสัก 1-2 สัปดาห์แล้วค่อยมาทำน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ในคนไข้บางกลุ่มที่มาจากต่างประเทศ ไม่มีเวลา หลังจากทำเลเซอร์เสร็จก็อาจจะเว้นสัก 30 นาทีก่อนทำหัตถการอื่นครับ

 

Result

หมอบาสวิเคราะห์ปัญหารูปหน้าของเราในวัยเลข 3 แล้วสรุปได้ว่าแก้มเริ่มหย่อน และมีปัญหาเหนียงคล้อยที่เกิดจากการยืดหดของผิวหลังลดน้ำหนัก ทำให้ดูไม่กระชับ เลยแนะนำให้ทำการรักษาด้วย Volformer โดยการยิงชั้น SMAS ด้วย MPT จำนวน 700 ช็อต และยิงงานผิวด้วย Volnewmer จำนวน 600 ช็อต โดยประมาณ

 

หลังยิงด้วย Ultraformer MPT เพียงอย่างเดียว ก็เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนแล้วว่าใบหน้าฝั่งที่ยิงยกขึ้นทันที โดยเฉพาะคิ้ว

 

 

หลังจากที่ยิงต่อด้วย Volnewmer ในข้างเดียวกันจะเห็นได้ว่าบริเวณแก้มดูเรียวขึ้นอีกเล็กน้อย

 

เมื่อเทียบกับใบหน้าก่อนทำ Volformer แล้วจะเห็นได้ว่าร่องแก้มดูตื้นขึ้น รูปหน้าจากที่มีความตอบดูเต็มและได้รูปยิ่งขึ้น ซึ่งหมอบาสเสริมว่าหลังทำเสร็จจะเห็นผลลัพธ์เพียง 10% เท่านั้น

 

 

หลังผ่านไปวันสองวันเราสังเกตได้ว่าใบหน้ายังมีความบวมตุ่ยบริเวณแก้มอยู่เล็กน้อย และมีความรู้สึกระบมบริเวณกรามเล็กน้อยประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นสังเกตได้ว่าใบหน้าเริ่มค่อยๆ เข้าที่ กรอบหน้าเริ่มชัดขึ้น สภาพผิวดูกระชับและอิ่มเอิบยิ่งขึ้น

 

 

Good for

Volnewmer ถือเป็นหัตถการเครื่องที่ค่อนข้างตอบโจทย์คนที่อยากลดแฟตและช่วยงานผิวในราคาที่สบายกระเป๋าขึ้น ส่วน Volformer ที่มีการใช้ Ultraformer MPT ร่วมด้วยนั้นเหมาะกับคนที่อยากเปลี่ยนไซส์และยกหน้าในราคาที่สบายกระเป๋าขึ้นอีกเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วการวินิจฉัยโดยแพทย์จะให้คำตอบที่แม่นยำและตอบโจทย์ความต้องการของคุณที่สุด

 

WIND Clinic

Open: ทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น.

Address:

  • สาขากรุงเทพฯ (เลียบทางด่วนรามอินทรา) 29, 592 ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม
  • สาขาอุบลราชธานี (สี่แยกกองบิน 21) 154 ถ.ชยางกูร ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี

Budget: อัตราค่าบริการเคสหมอบาส

  • Volnewmer

หน้า คอ: 49,000 บาท / 1,200 ช็อต

หน้า: 25,900 บาท / 300 ช็อต

  • Volformer

หน้า คอ: 49,900 บาท / 1,200 ช็อต

หน้า: 19,900 บาท / 200 ช็อต

Tel.: สาขากรุงเทพฯ 09 1796 2323, สาขาอุบลราชธานี 06 4665 2465

Instagram: https://www.instagram.com/windclinic/

Facebook: https://www.facebook.com/profile.php?id=100089998215353

Website: https://www.windclinic.com/

Map: https://maps.app.goo.gl/xQTrfnhaZ4itBAWp8

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising