×

SCGP – ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ด้วยผลิตภัณฑ์มาร์จิ้นสูง

20.09.2024
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

 

บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ได้จัดประชุมเพื่อเปิดเผยเป้าหมายธุรกิจโดยรวมสำหรับปี 2573 บริษัทตั้งเป้า EBITDA เพิ่มขึ้นที่ CAGR 7.7% มาอยู่ที่ 3-3.3 หมื่นล้านบาทในปี 2573 จาก 1.78 หมื่นล้านบาทในปี 2566 (9.8 พันล้านบาทใน 1H67) โดยหลักๆ จะเกิดจากการมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่มีมาร์จิ้นสูง เช่น บรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ บรรจุภัณฑ์โพลีเมอร์ และบรรจุภัณฑ์อาหาร บริษัทตั้งเป้ารักษาระดับหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ไว้ที่ 2.5-3 เท่า ROE สูงกว่า 10% และอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงกว่า 40%

 

บริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับปี 2568-2573 ไว้ที่ 8 หมื่นล้านบาท โดยหลักๆ แล้วเป็นงบลงทุนเพื่อสนับสนุนการเติบโต: 34% สำหรับการควบรวมกิจการและร่วมมือกับพันธมิตร (M&P) และ 30% สำหรับการขยายกำลังผลิตของบริษัท (Organic Growth) ในขณะที่งบซ่อมบำรุงคิดเป็นสัดส่วน 22% การประหยัดต้นทุนอยู่ที่ 9% และ ESG อยู่ที่ 5% ของงบลงทุนทั้งหมด

 

กลยุทธ์พลิกฟื้นธุรกิจในอินโดนีเซีย Fajar Paper หลัง Consolidated แล้ว มีกลยุทธ์ระยะสั้นคือส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตในอินโดนีเซียไปยังเวียดนาม (ปัจจุบันส่งออกไปแล้ว 2,000-3,000 ตัน) โดยการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นน้ำใกล้เต็มกำลังการผลิตแล้ว เนื่องจากมีความต้องการจากธุรกิจปลายน้ำค่อนข้างมาก ราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ส่งไปเวียดนามสูงกว่าส่งไปจีนประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน นอกจากนี้ก็กำลังเจรจาทำ M&P ธุรกิจปลายน้ำในอินโดนีเซีย 2-3 ราย ที่จะเพิ่ม Integration Level จาก 16% เป็น 30% รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนลงอีก โดยคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนที่ระดับ EBITDA ภายในสิ้นปีนี้

 

ทั้งนี้การเข้าซื้อหุ้น Fajar Paper เพิ่มเติม (44.48%) ด้วยมูลค่าการลงทุน 652.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.3 หมื่นล้านบาทนั้น แหล่งเงินทุน 8 พันล้านบาท จะมาจากกระแสเงินสดภายใน และส่วนที่เหลือจะมาจากการออกหุ้นกู้และเงินกู้ยืม ซึ่งคาดว่าจะมีต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 3% คิดเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเติม 450 ล้านบาทต่อปี เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2567

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น SCGP ปรับขึ้น 17.4% สู่ระดับ 27 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 10.2% สู่ระดับ 1,435.77 จุด

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:

 

InnovestX Research คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวใน 2H67 จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น หลังจาก Buying Season ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกันยายน-ตุลาคม ส่งผลให้ความต้องการบรรจุภัณฑ์โดยรวมเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการที่สูงขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในแต่ละประเทศที่บริษัทมีการดำเนินงาน

 

รวมถึงราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่คาดว่าสายธุรกิจเยื่อและกระดาษจะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากการกลับมาเดินเครื่องผลิต หลังจากปิดซ่อมบำรุงโรงงานผลิตเยื่อและกระดาษประจำปี (2 สัปดาห์) และไม่มีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงราว 100 ล้านบาท เหมือนใน 2Q67 เกิดขึ้นอีก

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ ราคาหุ้น SCGP ปรับตัวลดลง 25.0%YTD มาเทรดที่ระดับ -1.5SD ของ P/E Mean บ่งชี้ว่าปัจจัยลบสะท้อนในราคาหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังพบว่าปริมาณการขายชอร์ตสำหรับ SCGP ลดลงอย่างมาก

 

InnovestX Research ยังคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ SCGP โดยให้ราคาเป้าหมาย 40 บาทต่อหุ้น อ้างอิง P/E 25.9 เท่า หรือระดับ -1SD ของ P/E Mean และคาดว่าการฟื้นตัวของผลประกอบการในปี 2567 จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้น SCGP ปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้าต่อเนื่อง และความไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ต้นทุนถ่านหินเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังอยู่ระดับสูง (E)

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising